“ชิค รีพับบลิค” ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอ 360 ล้านหุ้น เล็งเข้าจดทะเบียนใน SET เผยเตรียมใช้เงินทุนขยายสาขา และคืนเงินกู้ยืมระยะยาว
บมจ. ชิค รีพับบลิค (CHIC) ยื่นไฟลิ่งเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2560 ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 360 ล้านหุ้น โดยแบ่งเป็น 270 ล้านหุ้นเสนอขายต่อประชาชน, จำนวน 54 ล้านหุ้นเสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัท และจำนวน 36 ล้านหุ้นเสนอขายต่อบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับบริษัท และพนักงานของบริษัท
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความประสงค์จะขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย วัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้เพื่อใช้เป็นเงินลงทุนขยายสาขาในปี 61-62, ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวกับสถาบันการเงินในปี 61 และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
บริษัทฯ เป็นศูนย์รวมจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์, สินค้าตกแต่งบ้าน, ของใช้ในบ้าน, โคมไฟตกแต่ง และที่นอนและเครื่องนอนอย่างครบวงจร (One Stop Shopping) ในรูปแบบ “Stand Alone” หรือ ร้านค้าเดี่ยวขนาดใหญ่ ภายใต้ชื่อ “ชิค รีพับบลิค (CHIC)” และ “ริน่า เฮย์ (RINA HEY)”
CHIC ได้มีการวางตำแหน่งทางการตลาดของสินค้าไว้อย่างชัดเจน เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีกำลังซื้อและต้องการที่อยู่อาศัยใหม่ หรือปรับปรุงที่อยู่อาศัย ทั้งแนวราบ และอาคารสูง ปัจจุบัน CHIC มีสาขารวมทั้งสิ้น 4 สาขา ได้แก่ 1) สาขาประดิษฐ์มนูธรรม 2) สาขาพัทยา 3) สาขาบางนา 4) สาขาราชพฤกษ์ และมีศูนย์กระจายสินค้า 1 แห่ง ซึ่งได้ว่าจ้างบริษัท ดีเอชแอล ซัพพลายเชน (ประเทศไทย) จำกัด (DHL) เป็นผู้บริหารคลังสินค้าให้บริษัทที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
โครงการในอนาคต บริษัทมีโครงการพัฒนาเว็บไซต์ (Website) ใหม่ เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้ารองรับการจำหน่ายผ่านช่องทางการขายแบบออนไลน์ บริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบให้มีการซื้อขายแบบ E-Commerce โดยวางแผนงานร่วมกับธนาคาร บริษัทตัวแทนชำระเงิน และบริษัทจัดส่งสินค้าไว้แล้ว ช่วงแรกจะเน้นการขายสินค้าภายใต้ตราสินค้า “RINA HEY” ก่อน คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาส 1/61 ใช้งบประมาณในการพัฒนาเว็บไซต์ประมาณ 2 ล้านบาท
ส่วนโครงการขยายสาขาเพิ่ม ดังนี้ 1. สาขารามอินทรา บริษัทได้ลงนามในสัญญาเช่าที่ดินแล้ว โดยมีระยะเวลาเช่า 30 ปี คาดเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 1/61 คาดว่าจะเปิดให้บริการปลายปี 61 ใช้งบลงทุนประมาณ 250-300 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินทุนที่ใช้ในการลงทุนจะมาจากการขอรับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินร่วมกับกระแสเงินสดภายในกิจการ และเงินระดมทุน IPO
นอกจากนั้น บริษัทมีโครงการเปิดสาขาใหม่ในหัวเมืองใหญ่ของภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ ทั้งภาคเนือ เช่น เชียงใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ อุดรธานี และภาคใต้ เช่น ภูเก็ต หรือ อ.หาดใหญ่ เป็นต้น โดยที่ จ.อุดรธานี เช่าที่ดิน 30 ปี ออกแบบโครงสร้างอาคาร 2 ชั้น ขนาดพื้นที่ขายประมาณ 6,500 ตารางเมตร และมีร้านค้าเช่าพื้นที่ 4 ร้านค้า คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท รวมทั้งอยู่ระหว่างศึกษาการขยายสาขาในประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะ CLMV ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการลงทุน ซึ่งบริษัทอาจลงทุนเอง หรือร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่นในแต่ละประเทศ
ผลการดำเนินงานในช่วงปี 57-59 มีรายได้จากการขายและบริการ 651.91 ล้านบาท 835.03 ล้านบาท และ 806.20 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 28.09%, -3.45% โดยในปี 59 รายได้จากการขายและบริการลดลงตามยอดขายหน้าร้าน เป็นผลกระทบจากภาวะการชะลอตัวของการซื้อสินค้า และบริษัทมีการทำการตลาดส่งเสริมการขายโดยให้ส่วนลดเพิ่มเติมแก่ลูกค้าเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขาย
ขณะที่กำไรในปี 57 อยู่ที่ 30.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 69.03 ล้านบาทในปี 58 และลดลงเหลือ 51.78 ล้านบาทในปี 59
ส่วนงวด 9 เดือนแรกของปี 60 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 1,149.05 ล้านบาท หนี้สินรวม 602.06 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 564.99 ล้านบาท รายได้รวม 559.10 ล้านบาท ต้นทุนรวม 290.59 ล้านบาท กำไรสุทธิ 11.05 ล้านบาท
บริษัทมีทุนจดทะเบียน จำนวน 680 ล้านบาท แบ่งเป็น 1,360 ล้านหุ้น โดยเป็นทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว จำนวน 500 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 1,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้บริษัทจะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว จำนวน 680 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ คือ ครอบครัวนายกิจจา ปัทมสัตนาสนธิ รวมถือหุ้น 1,000 ล้านหุ้น คิดเป็น 100% หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 73.53%
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลโดยพิจารณาจากงบการเงินของบริษัทไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักเงินสำรองตามกฎหมาย และจะต้องไม่เกินกำไรสะสมที่ปรากฏอยู่ในงบการเงิน