“เจ.เอส.พี.ฯ” กับการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ ระบุปี 61 เข้าสู่มิติแห่งการปรับโครงสร้างทางการเงิน เดินหน้าลดต้นทุน ปรับหนี้ระยะยาวมากขึ้น พร้อมรุกหนักตลาดแนวราบระดับราคา 3-5 ล้านบาท แตกโปรดักต์เซกเมนต์แนวราบพรีเมียม ระดับ 10 ล้านบาทขึ้น ให้ติดท็อป 10 แบรนด์อสังหาฯ วางเป้าขึ้นท็อปไฟว์ตลาดแนวราบ วางเป้ารายได้ปีหน้า 5,200 ล้านบาท
นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมของบริษัทในปี 59-60 ที่ผ่านมาว่า บริษัทประสบความสำเร็จจากผลของการรีแบรนด์ใหม่เป็น เจ.ซีรี่ส์ และปรับโพกัสสินค้าเน้นเปิดแนวราบ ในกลุ่มราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท เป็นพอร์ตรายได้หลัก และปรับสไตล์การออกแบบ เพิ่มนวัตกรรม J ID บ้านอัจฉริยะ โดยสองปีที่ผ่านมา บริษัทได้ขยายเปิดโครงการไปแล้วกว่า 20 โครงการ ทำให้ยอดขายโตขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะในปี 60 บริษัทสามารถทำยอดรายได้สูงขึ้นถึง 60% ทำให้เบียดแทรกขึ้นไปอยู่บนชาร์ตท็อป 10 ของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ โดยกลุ่มสินค้าหลักที่ทำให้มีรายได้เติบโต ได้แก่ โครงการกลุ่มทาวน์เฮาส์ แบ่งเป็นกลุ่มราคา 2-2.5 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 4,526 ล้านบาท ซึ่งกวาดรายได้ 2,869 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% เมื่อเทียบกับปี 59 และกลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท โครงการเจ แกรนด์ สาทร-กัลปพฤกษ์ มีมูลค่าโครงการรวม 610 ล้านบาท กวาดรายได้ 595 ล้านบาท และเป็นโครงการเพิ่งเปิดใหม่ไปเมื่อต้นปี
“เจ.เอส.พี. เดินตามแผน 5 ปี ซึ่งทุกอย่างไปตามเป้าที่วางไว้ โดยผลจากการีแบรนด์ในปีที่ผ่านมาต่อเนื่องปีนี้ ทำให้รายได้มีส่วนแบ่งมากขึ้นจาก 3,000 ล้านบาทในปี 59 และคาดว่าในปีนี้จะทำได้ตามเป้าที่ 4,500-5,000 ล้านบาท ซึ่งจะเห็นได้ว่ายอดรับรู้รายได้เฉลี่ยแต่ละไตรมาสจะเกินหลัก 1,000 ล้านบาท และคาดว่าไตรมาส 4 จะทำได้ 1,660 ล้านบาท "
กรรมการผู้จัดการกล่าวว่า ในปี 2561 จะเป็นปีที่สำคัญของการสร้างความเติบโตไปข้างหน้าแบบยั่งยืน โดยกำหนดให้เป็นปีแห่งการสร้างความเติบโตของกำไรสุทธิ (Net Profit Growth) โดยจะใช้กลยุทธ์ประกอบด้วยกัน 4 มิติ คือ ด้านการเงิน จะดำเนินการใน 3 ขั้นตอน คือ การเปลี่ยนแปลงแหล่งเงินกู้ระยะสั้นให้เป็นระยะยาว ซึ่งที่ผ่านมา ได้ชำระหนี้จำนวน 2,500 ล้านบาท จากหุ้นกู้จำนวน 1,100 ล้านบาท และตั๋วแลกเงินระยะสั้น(B/E) จำนวน 1,400 ล้านบาทเรียบร้อย ทำให้สถาบันการเงินพร้อมสนับสนุุนสินเชื่อในการพัฒนาโครงการ
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมจัดหาต้นทุนทางการเงินให้ต่ำลง โดยในปีหน้า เตรียมออกหุ้นกู้ใหม่ที่มีอายุ 2-3 ปี เพื่อไถ่ถอนหุ้นกู้ระยะสั้น เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ที่บริษัทมีกับสถาบันการเงิน โดยตามแผนจะออกหุ้นกู้ในต้นปี 1,000-1,200 ล้านบาท และปลายปีอีก 1,000 ล้านบาท
การขายทรัพย์สินบางส่วนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ไปพร้อม ๆ กัน โดยได้ที่ดินด้านหน้ามอลล์ของโครงการไมอามี่ ไปบางส่วน ในราคา 180 ล้านบาท บันทึกเป็นกำไร 60-70 ล้านบาท
ด้านการบริหารงาน โดยในปีหน้าจะทำการปรับเพิ่มราคาสินค้าขั้นต้นอีก 50-10% การลดต้นทุนการขาย โดยเน้นทำตลาดแบบออนไลน์เป็นหลัก ปรับลดสต๊อกสินค้าให้สมดุลกัยยอดขายในแต่ละเดือน
การพัฒนาสินค้า โดยจะมีการเปิดเพิ่มโครงการใหม่ ซึ่งปีหน้ามี 6 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 3,975 ล้านบาท โดยจะหันมารุกเปิดโครงการแนวราบกลุ่มราคา 3-5 ล้านบาทมากขึ้น ในสัดส่วน 40-60% นอกจากนี้ จะมีการพัฒนาโครงการเซกเมนต์ระดับพรีเมียม โดยจะนำที่ดินด้านหน้าโครงการ เจ คอนโดน สาทร-กัลปพฤกษ์ เนื้อที่ 9 ไร่ มานำร่องโครงการบ้านพรีเมียม ทำราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป แต่จะมีบ้านเดี่ยว 3 ชั้น เพียง 2 หลัง ที่ทำราคา 35 ล้านบาท ทั้งนี้ ในแผน 5 ปี สัดส่วนรายได้จากเซกเมนต์พรีเมียมจะประมาณ 25% ของยอดรับรู้รายได้
ด้านการลงทุน บริษัทมีความสนใจในการพัฒนาอสังหาฯ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยลงทุนซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ จำนวน 1,500 ล้านบาท ใน อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา และ จ.ชลบุรี เพิ่มเข้ามา
ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ “เจ วิลล่า วงแหวน-บางใหญ่” หรือมหานครปารีสแห่งบางใหญ่ มูลค่า 1,208 ล้านบาท มียอดขายแล้วเกือบ 400 ล้านบาท และยังมีที่ดินข้างเคียงที่จะเปิดโครงการบ้านเดี่ยวเอ็กคลูซีฟ เนื้อที่ 28 ไร่ จำนวน 122 หลัง ราคาเริ่มต้น 4.6-7 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท โครงการอาคารพาณิชย์ โครงการ เจ อเวนิว รัตนาธิเบศร์ บางบัวทอง มูลค่า 300 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 120 ล้านบาท โครงการเจ ซิตี้ ศรีราชา-อัสสัมชัญ มูลค่า 710 ล้านบาท ยอดขายแล้ว 507 ล้านบาท
“ปีหน้า เจ.เอส.พี. เป้ารับรู้รายได้น่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 15% หรือมีตัวเลขที่ 5,200 ล้านบาท และปักธงเน้นพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านพรีเมียม ให้ติดท็อป 10 แบรนด์อสังหาฯ ในกลุ่มราคา 3-5 ล้านบาทให้ได้ภายในปี 61 ส่วนสินค้าทาวน์เฮาส์หวังขยับขึ้นติดท็อปไฟว์ในตลาดต่ำกว่า 5 ล้านบาทให้ได้เช่นกัน ส่วนเป้ายอดขายในปี 62 ถูกกำหนดไว้ที่ 6,200 ล้านบาท และสิ้นสุดแผน 5 ปี ในปี 63 รายได้ของเจ.เอส.พี. จะก้าวไปสู่ 7,400 ล้านบาท”.