บล. กสิกร แนะนักลงทุน เลือกเก็บหุ้นที่มีผลประกอบการดีจากในไตรมาส 3/2560 ซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อเนื่องไปยังไตรมาส 4 ด้วย พร้อมแนะจับตาต่างประเทศ แม้เทขายหุ้นไทยออกไปอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น และยังไม่เห็นเม็ดเงินไหลออกจากประเทศ มอง SET Index ลงมาใกล้ 1,680 จุด แนะเป็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสม ถือยาวเพื่อไปขายทำกำไรตอนดัชนีทดสอบ 1,760 จุดในช่วงต้นปีหน้า
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ช่วงระหว่างวันที่ 20-24 พฤศจิกายน 2560 ว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ขอให้นักลงทุนพิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจ และปัจจัยภายในประเทศ ตลอดจนถึงนโยบายภาครัฐเป็นหลัก แม้ว่าจะเห็นการเทขายทำกำไรของนักลงทุนต่างประเทศ ที่ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องมา 6 วันติดต่อกัน กว่า 1.07 หมื่นล้านบาท และทำให้ตลอดเดือน พ.ย. 2560 มียอดขายสุทธิสะสม 1.51 หมื่นล้านบาท แต่กระนั้นก็ยังไม่พบสัญญาณของ Fund Flow ไหลออก ซึ่งดูได้จากค่าเงินบาทแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 2 ปี 7 เดือนที่ 32.91 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ สะท้อนว่า ต่างชาติเพียงแค่พักการลงทุนใน SET และเงินยังไหลวนเวียนอยู่ในประเทศ โดยมีความเป็นไปได้ที่บางส่วนจะนำไปพักในตราสารหนี้ เห็นได้จากช่วง 6 วันที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิในตราสารหนี้กว่า 1 หมื่นล้านบาท เป็นการเข้าซื้อในตราสารหนี้อายุต่ำกว่า 1 ปีถึง 1.70 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม คาดว่าแรงขายของต่างชาติใน SET จะเบาลงเรื่อย ๆ จากสถานะการถือครองของต่างชาติ (% Foreign Ownership) ในปัจจุบันที่ลดลงต่ำสู่ 32.12% ของ Market Cap (ยอดถือครองของต่างชาติที่มีการปิดโอน 24.83% และ NVDR 7.29%) ถือว่าเป็นระดับที่เกือบต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี
ขณะที่ในส่วนของศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KS Research) ประเมินว่า นักลงทุนต่างประเทศจะพักการลงทุนไปตลอด พ.ย.-ธ.ค. 2560 และจะกลับมาซื้ออีกครั้งในช่วง ม.ค. 2561 ซึ่งจะทำให้การปรับฐานของ SET Index ลงมาใกล้ 1,680 จุด เป็นโอกาสในการเข้าซื้อสะสม เพื่อไปขายทำกำไรตอนดัชนีทดสอบ 1,760 จุดในช่วงต้นปีหน้า นั่นเท่ากับว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2560 ไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะมาทำการขายหุ้น แต่จะเป็นช่วงที่ต้องเข้าไปซื้อสะสมเพื่อขายในปี 2561
ในส่วนของปัจจัยต่างประเทศที่นักลงทุนจะต้องติดตามจับตา ได้แก่ การประกาศ GDP Growth ในงวดไตรมาส 3/2560 ของไทยในวันที่ 20 พ.ย. 2560 ซึ่งตลาดคาดไว้ว่าจะขยายตัว 3.8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ในส่วนของศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า GDP จะขยายตัว 4.0% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีความเป็นไปได้สูงที่ตัวเลขจริงจะออกมามากกว่าที่ตลาด หรือศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดโดยอ้างอิงจากการกล่าวปาฐกถาพิเศษของ ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในงานสัมมนา “Thailand Economic Outlook 2018: An Era of business Transformation” เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2560 ว่า GDP ไทยในไตรมาส 3 ปี 2560 มีโอกาสที่จะโตทะลุ 4% จากภาพรวมเศรษฐกิจที่มีการฟื้นตัวต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า หาก GDP ออกมาใกล้เคียง หรือสูงกว่า 4% ซึ่งเป็นระดับที่มากกว่า Consensus คาดไว้ ตลาดจะตอบรับในเชิงบวก และเป็นแรงผลักดันให้ SET Index ทะยานขึ้นได้อีกครั้ง เหมือนที่เกิดขึ้นหลังจากการประกาศ GDP Growth งวดไตรมาสที่ 2/2560
นอกจากนี้ กลุ่มหุ้นที่ควรเข้าซื้อซึ่งประเมินว่าจะมีอานิสงส์ในเชิงบวกต่าง ๆ ได้แก่ บริษัทที่จะมีผลประกอบการดี มีกำไรดีในงวดผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3/2560 ที่ได้ทยอยออกไปแล้ว และจะดีต่อเนื่องในไตรมาสที่ 4/2560 ประกอบไปด้วย TISCO, AEONTS, HMPRO, TCAP, PTTGC, IVL, COM7 MTLS, GUNKUL, STEC, ROBINS วัฏจักรการลงทุน กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม AMATA, WHA และ TICON ทะยอยปรับเพิ่มขึ้นมาได้อย่างร้อนแรงแล้ว คาดว่าในระยะถัดไปจะเป็นกลุ่มอื่นที่อยู่ในซีซัน คือ กลุ่มรับเหมาฯ มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นมาตาม เราแนะนำเข้าเก็บสะสมเพิ่ม หรือถือหุ้นต่อ (ในกรณีที่ซื้อตามคำแนะนำก่อนหน้านี้) เพื่อรับการฟื้นตัวของราคาหุ้นจากนี้ไปจนถึงปีหน้าทั้ง STEC, CK, UNIQ, SYNTEC, PYLON, SEAFCO โดยเลือก STEC, PYLON เป็นตัวเด่นของกลุ่ม
แต่กระนั้น กลุ่มธนาคารฯ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญ มีแนวโน้มกลับมาดีกว่าภาพรวมตลาดเช่นกัน ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงเลือก BBL, TISCO เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม
ทั้งนี้ นักลงทุนควรพิจารณามองหาหุ้นที่จะได้ประโยชน์จาก High Season ในไตรมาส 4 ตอนนี้ กลุ่มที่คาดว่าจะโดดเด่นที่สุด คือ กลุ่มโรงแรม และโรงพยาบาล หลังจากที่ทั้ง 2 กลุ่มได้ทยอยประกาศผลประกอบการงวด 3/2560 กันไปแล้ว และปรากฏว่าสามารถประกาศผลกำไรเติบโต (กลุ่มโรงแรม ได้แก่ CENTEL, MINT, ERW มีกำไรรวม +33% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า +16% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และกลุ่มโรงพยาบาล BDMS, BH มีกำไรรวม -27% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า +5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า) ซึ่งถือเป็นสัญญาณการขยายตัวที่ดีของทั้ง 2 กลุ่ม คาดว่าจะมีภาพการสะท้อนที่ดีอย่างต่อเนื่องมายังไตรมาส 4 ที่เป็น High Season โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หุ้นทั้ง 5 บริษัท คือ CENTEL, MINT, ERW, BDMS, BH จะเป็นหุ้นที่ควรแก่การซื้อสะสมในช่วงนี้
อย่างไรก็ตาม กลุ่มโรงแรม ยังเป็นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการช็อปช่วยชาติ ด้วยมาตรการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว (รวมแล้วสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีในส่วนรายได้ได้สูงสุด 3 หมื่นบาท) ทั้งนี้ MINT, CENTEL ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีเพียง 20% และราคาหุ้นยังค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับ ERW ที่ปรับเพิ่มขึ้นมา 70%