กรุงไทย จับมือพันธมิตรจัดบิสิเนสแมชชิ่งระหว่างเอสเอ็มอีไทย-ผู้ประกอบการเมียนมาร์ ชุดแรก 80-90 ราย เน้นกลุ่มการค้า สินค้าอุปโภคบริโภค วัสดุก่อสร้าง คาดประสบความสำเร็จไม่ต่ำกว่า 50% เตือนผู้ประกอบการเร่งปรับตัวรับเศรษฐกิจ-ลงทุนสดใส
นายปฏิเวช สันตะวานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานธุรกิจขนาดกลาง ธนาคารกรุงไทย (KTB) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ร่วมกับสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดกิจกรรมสนับสนุนผู้ประกอบการ SME ไทยผ่านกิจกรรมการเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย และผู้ประกอบการจากประเทศเมียนมาร์ โดยมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วม 80-90 รายในภาคหลายภาคธุรกิจ อาทิ การค้า สินค้าอุปโภคบริโภค และวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมบิสิเนสแมชชิ่งในครั้งนี้ ธนาคารเปิดกว้างสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทุกไซส์ที่มีความพร้อม และอยู่ในธุรกิจที่ตรงกับความต้องการ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมียอดขายไม่เกิน 400 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีผู้ประกอบการไม่ต่ำกว่า 50% ที่ประสบความสำเร็จในการแมชชิ่งครั้งนี้
นายปฏิเวช กล่าวอีกว่า ในปีนี้แม้ว่ากลุ่มเอสเอ็มอีจะเติบโตได้ไม่มากนัก แต่แนวโน้มในปีหน้าจะดีขึ้นมาก ถือว่าเป็นปีทองของเอสเอ็มอีก็ว่าได้ จากการลงทุนภาครัฐ และเอกชน ที่จะเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเองก็จะต้องมีการปรับตัวเพื่อรับปัจจัยที่เอื้อดังกล่าว โดยหลัก ๆ ก็จะเป็นเรื่องของคุณภาพของสินค้าที่ควรได้มาตราฐาน และพัฒนาให้ทันกับความต้องการ และตลาดที่เปลี่ยนไป รวมถึงปรับปรุงมาตรฐานทางบัญชีให้เป็นระบบบัญชีเดียว เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้เป็นนโยบายของทางการที่ธนาคารก็ได้ให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่องทั้งด้านผลิตภัณฑ์ และการอบรมให้ความรู้
“ธนาคารกรุงไทย สนับสนับให้ผู้ประกอบการที่มีความพร้อมขยายธุรกิจไปสู่ประเทศเมียนมาร์อย่างต่อเนื่อง และมีผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่จะช่วย ไม่ว่าจะด้านการดูแลความเสี่ยงอัตราแลก การตลาด หรือการให้ความรู้ทางด้านกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการเดินหน้าขยายธุรกิจไปได้ แต่ย้ำว่าต้องเป็นผู้ประกอบการที่ความพร้อม อย่างครั้งนี้ที่เราจัดบิสิเนสแมชชิ่งก็ได้คัดเลือกมาจากฐานลูกค้าของเราก่อน จริง ๆ มีหลักร้อย แต่ในขั้นต้นขอเป็น 80-90 รายก่อนเพื่อให้การดูแลทั่วถึง” นายปฏิเวช กล่าว
นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ รองผู้อำนวยการฝ่าย Product Solutions ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะยังได้รับแรงหนุนจากทั้งใน และต่างประเทศ จากเศรษฐกิจโลกที่น่าจะเติบโตได้ดีส่งผลดีต่อการส่งออก รวมถึงการลงทุนโครงการของภาครัฐที่ทยอยออกมาจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ก็มีกลุ่มผู้ประกอบการที่มีความสนใจที่จะขยายการลงทุน หรือการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น ซึ่งประเทศเมียนมาร์ก็เป็นอีกประเทศในกลุ่ม CLMV ที่ได้รับความสนใจ เนื่องจากมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับที่สูง สินค้าของไทยเป็นที่รู้จัก และได้รับความไว้วางใจจากประชากรเมียนมาร์อยู่แล้ว แต่ก็ยังมีปัจจัยที่ผู้ประกอบการที่สนใจจะไปลงทุนต้องระมัดระวัง ก็จะเป็นกรณีของกฎหมาย กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ยังมีความไม่ชัดเจน และเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินจ๊าด ที่เคลื่อนไหวหวือหวาอยู่บ้าง