บอร์ดบริหาร “เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น” มีมติปรับโครงสร้างทางการเงินเพื่อลดภาระหนี้ และดอกเบี้ย รวมทั้งรองรับการขยายธุรกิจ ด้วยการจำหน่ายโครงการที่พักอาศัย และระดมเงินจากการเพิ่มทุน 3,758 ล้านบาท พร้อมขายฝันโชว์แผนดำเนินธุรกิจ ลดต้นทุน สร้างกำไรระยะยาว ผ่านดีน แอนด์ เดลูก้า และจุดชมวิวมหานคร
นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้วางแผนลดภาระหนี้ และดอกเบี้ย ตลอดจนถึงแผนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยแผนในระยะสั้น บริษัทฯ ได้เตรียมปรับโครงสร้างทางการเงินด้วยการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์บางส่วนของบริษัทฯ ทำให้สามารถรับรู้รายได้ได้ทันที และเพิ่มทุนจดทะเบียนแบบจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งจะช่วยให้อัตราหนี้สินต่อทุนของบริษัทฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เหลือเพียงประมาณ 1.5 เท่า ซึ่งแผนการดำเนินธุรกิจนี้มีจุดประสงค์หลัก เพื่อเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานะการเงินของบริษัทฯ
แผนการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการรับรู้รายได้นั้น ขณะนี้เพซ ได้เข้าทำบันทึกความเข้าใจกับบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ในการจำหน่ายโครงการนิมิต หลังสวน ทั้งโครงการ และ ห้องชุดที่ยังเหลือ ประมาณร้อยละ 25 ของโครงการเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก ทั้งนี้ โดยปัจจุบัน แสนสิริอยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบสถานะของทรัพย์สิน (Due Diligence)
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่า หากทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลง และเงื่อนไขข้อกำหนดต่าง ๆ ของธุรกรรมเสร็จสิ้นแล้ว บริษัทฯ อาจสามารถรับรู้รายได้จากการขายโครงการดังกล่าวได้ในปี 2561 โดยจะนำเงินสดที่ได้จากการจำหน่ายทั้งสองโครงการนี้ไปลดภาระหนี้ต่อไป
ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับโครงสร้างองค์กร และการวางแผนเชิงกลยุทธ์ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล และการปฏิบัติการ เพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย และได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดต้นทุนด้านบุคลากร พร้อมรองรับทิศทางการดำเนินธุรกิจที่จะสร้างรายได้ต่อเนื่องในระยะยาว
“หลังจากการเพิ่มทุน และขายสองโครงการดังกล่าว รวมถึงลดภาระหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยระยะสั้นจนเกือบหมดสิ้นแล้ว เพซ เชื่อมั่นว่า โครงสร้างทางการเงินของบริษัทฯ จะมีความแข็งแกร่ง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น และบริษัทฯ เชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโตสูง และเน้นการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต” นายสรพจน์ กล่าวทิ้งท้าย
นอกจากนี้ เพซได้วางแผนที่จะเพิ่มทุนแบบจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิม จำนวน 7,516 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.50 บาท รวมมูลค่า 3,758 ล้านบาท โดยจะออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ หรือ Warrant 2 รุ่น ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมที่ใช้สิทธิในการเพิ่มทุนครั้งนี้ รวมเป็นจำนวน 4,009 ล้านหน่วย พร้อมทั้งออกหุ้นเพิ่มทุนแบบจัดสรรหุ้นให้กับบุคคลในวงจำกัด จำนวน 1,500 ล้านหุ้น โดยเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะนำไปพัฒนาโครงการต่าง ๆ ของบริษัทฯ ขยายธุรกิจในอนาคต และชำระหนี้หุ้นกู้ และตั๋วแลกเงิน ซึ่งภายหลังการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะทำให้บริษัทสามารถลดภาระหนี้ตั๋วแลกเงินระยะสั้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
ด้านนายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะหนึ่งในธนาคารผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินของเพซ กล่าวว่า ธนาคารไทยพาณิชย์เห็นด้วยกับแผนการปรับสถานะทางการเงินของเพซในครั้งนี้ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดภาระหนี้ระยะสั้นแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างฐานการเติบโตทางการเงินอย่างยั่งยืน และธนาคารมีความยินดีที่จะให้การสนับสนุนพร้อมกับทำงานร่วมกับเพซต่อไปในอนาคต
หลังจากการปรับสถานะทางการเงินครั้งนี้ เพซจะมีความสามารถในการเดินหน้าขยายธุรกิจโดยเฉพาะสองธุรกิจหลักสำคัญที่จะช่วยสร้างการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง คือ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ดีน แอนด์ เดลูก้า และจุดชมวิวมหานคร ออบเซอร์เวชันเด็ค
แผนธุรกิจ “ดีน แอนด์ เดลูก้า”
นายสรพจน์ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน นอกจากการดำเนินธุรกิจหลักทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศไทย และการเป็นเจ้าของสิทธิในแบรนด์ดีน แอนด์ เดลูก้า ทั่วโลกแล้ว บริษัทฯ จะมุ่งเน้นไปที่หน่วยธุรกิจใหม่ที่ใช้เงินลงทุนน้อย อาทิ การขยายสาขารูปแบบคาเฟขนาดเล็กภายใต้แบรนด์ DEAN & DELUCA xp และการพัฒนาไลน์ผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์แบรนด์ที่เป็นแผนการผลิตสินค้า ซึ่งจะใช้ช่องทางจัดจำหน่ายทั่วไปทั้งในและนอกร้านดีน แอนด์ เดลูก้า โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะใช้กลยุทธ์ในการทำงานร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อผนึกกำลังในการต่อยอดธุรกิจใหม่สองไลน์นี้ โดยเพซมั่นใจว่าจะสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากแบรนด์ ดีน แอนด์ เดลูก้า เป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่ง และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้ทางบริษัทฯ ได้รับความสนใจจากพันธมิตรทางธุรกิจหลากหลายประเทศที่พร้อมเข้าร่วมขยายธุรกิจใหม่ทั้ง 2 ไลน์ภายใต้เครื่องหมายการค้าดีน แอนด์ เดลูก้า
นอกจากนี้ ดีน แอนด์ เดลูก้า สหรัฐอเมริกา ยังได้แต่งตั้งนางลอร่า เลนดรัม ขึ้นดำรงตำแหน่ง ประธานบริหาร สายงานตลาดและการค้าทั่วโลก เพื่อพัฒนาโมเดลธุรกิจ และแบรนด์ ให้เป็นไปตามทิศทางการเติบโตของบริษัท โดยเฉพาะในสายงานรีเทล ซึ่งได้นำกลยุทธ์ด้านดิจิทัลมาประยุกต์ใช้เพื่อตอบรับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
“ที่ผ่านมา เราได้ลงทุนไปกับการศึกษาตลาด และการคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการออกแบบพัฒนารูปแบบร้าน และการบริหารจัดการ เพื่อมอบประสบการณ์ให้กับลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น ปัจจุบัน ดีน แอนด์ เดลูก้า ได้ผ่านพ้นช่วงเวลาของการตั้งต้น และลงทุนไปแล้ว หลังจากการปรับสถานะทางการเงินครั้งใหญ่นี้เสร็จสมบูรณ์ ก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาของการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจ”
แผนธุรกิจ “มหานคร ออบเซอเวชันเด็ค”
สำหรับจุดชมวิว มหานคร ออบเซอร์เวชัน เด็ค นับเป็นอีกหนึ่งธุรกิจสำคัญของเพซ โดยมีจุดเด่น คือ การออกแบบที่ทันสมัยเทียบเท่าจุดชมวิวระดับโลก มีพื้นกระจกยื่นออกจากตัวอาคาร มีรูฟท็อปบาร์ มีลิฟต์ความเร็วสูง รองรับนักท่องเที่ยวได้มากที่สุดถึงวันละ 10,000 คน และตั้งอยู่บนอาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทยในปัจจุบัน ใจกลางกรุงเทพฯ จุดชมวิวมหานคร ออบเซอเวชันเด็ค จะคิดค่าบริการเพื่อเข้าชมครั้งละประมาณ 500-1,000 บาท และพร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 จากข้อมูลของ Conde Nast Travelers คาดว่าภายในปี 2560 กรุงเทพฯ จะเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนถึง 20.19 ล้านคน และเพซ มั่นใจว่า จุดชมวิวบนอาคารมหานครจะเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติทุกระดับ
“ธุรกิจจุดชมวิวเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินลงทุนแรกเริ่มสูง แต่เมื่อเริ่มเปิดดำเนินการแล้ว จะมีค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อเนื่องค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับรายได้ที่จะได้รับในระยะยาว เช่นเดียวกับธุรกิจรถไฟฟ้า หรือโรงไฟฟ้า โดยคาดว่าจะสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นที่มากกว่าร้อยละ 70 ซึ่งถือว่าได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการทำโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป และยังเป็นทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเนื่องอีกหลายสิบปี โดยที่ปราศจากความเสี่ยงในการหาที่ดินทำเลใหม่ เพื่อพัฒนาโครงการเพิ่มทุกปี ทั้งนี้ จุดชมวิว มหานคร ออบเซอเวชันเด็ค ปัจจุบันได้ก่อสร้างโครงสร้างหลักเสร็จสิ้นแล้ว และอยู่ระหว่างการตกแต่งภายใน ซึ่งบริษัทฯ ได้สำรองเงินทุนในส่วนนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว” นายสรพจน์ กล่าวเสริม
การบริหารจัดการภายในองค์กร
นอกเหนือจากนี้ เพซยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาที่สามารถรับรู้รายได้ระยะยาวอีก 3 โครงการ ซึ่งจะทยอยแล้วเสร็จ คือ โครงการ วินด์เชลล์ บนถนนนราธิวาสราช-นครินทร์, โรงแรม บางกอก เอดิชั่น ในมหานคร, โครงการ มหาสมุทร หัวหิน ซึ่งประกอบด้วยโครงการที่พักอาศัยรูปแบบวิลลา และคันทรี คลับ และยังเป็นโครงการที่จะสร้างรายได้ระยะยาวให้กับบริษัท อีกทั้ง ยังมีที่ดินที่อยู่ระหว่างรอพัฒนาอีกสองโครงการ