ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ไตรมาส 3 กำไรสุทธิ 1,736.84 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากงวดนี้ปีก่อนที่ทำไว้ 1,594.42 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 142.42 ล้านบาท คิดเป็น 8.93% เนื่องจากเป็นผลดี เรด ล็อบสเตอร์ ในสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง รวมถึงมาตรการการลดต้นทุน อีกทั้งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่้เพิ่มขึ้น ขณะบอร์ดให้เช่าพื้นที่โรงงาน “ไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม” เพื่อใช้เก็บบรรจุภัณฑ์สินค้า และมีพื้นที่ในการติดฉลากระหว่างการปรับปรุงพื้นที่ของ TUM พร้อมซื้อหุ้น “ยู่เฉียงแคนฟู้ด” เพิ่มเป็น 100%
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อ 6 พ.ย. 60 ว่า บอร์ดอนุมัติการทำสัญญาเช่าพื้นที่โกดังสินค้าของบริษัท ไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท กับผู้ให้เช่า คือ บริษัทแฟคตอรี่ สตอเรจ เซอร์วิส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่เกี่ยวโยงกัน ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อใช้เก็บบรรจุภัณฑ์สินค้า และมีพื้นที่ในการติดฉลากระหว่างการปรับปรุงพื้นที่ของ TUM เป็นระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ถึงวันที่ 31ธันวาคม 2561 มูลค่า 8.35 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นรายการเช่าอสังหาริมทรัพย์ระยะสั้น
ทั้งนี้ รายการนี้มีบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน คือ นายเชง นิรุตตินานนท์ กรรมการบริษัท และเป็นบิดาของนายนคร นิรุตตินานนท์ และนางนรมน นิรุตตินานนท์ ซึ่งเป็นบุตรชาย และสะใภ้ และเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นของบริษัท แฟคตอรี่ สตอเรจ เซอร์วิส จำกัด ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบมีความเห็นว่า รายการที่เกี่ยวโยงกันดังกล่าวเป็นรายการที่จะเกิดประโยชน์ต่อบริษัท และมีส่วนช่วยสนับสนุนให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมกันนี้ บอร์ดยังอนุมัติการซื้อหุ้นของบริษัท ยู่เฉียงแคนฟู้ด จำกัด (YCC) โดยบริษัท สงขลาแคนนิ่ง จำกัด (มหาชน) (SC) จาก Mr. Chengwo Chyang ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิม 4.96% จากเดิมที่บริษัท SC ถือหุ้นในบริษัท YCC อยู่ 95.04% ให้เป็น 100.00% โดยมูลค่าซื้อขา 4.96% ของบริษัท ยู่เฉียงแคนฟู้ด จำกัด 44.42 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน TU ยังแจ้งผลงานไตรมาส 3 ปี 60 ว่ามีกำไรสุทธิ 1,594.42 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 142.42 ล้านบาท คิดเป็น 8.93% เนื่องจากเป็นผลดีจากแม้อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวน และราคาวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น แต่บริษัทได้รับผลดีจากเรด ล็อบสเตอร์ ในสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งสามารถกำไรสุทธิได้ 380 ล้านบาท รวมถึงมาตรการการลดต้นทุน โดยค่าใช้จ่ายด้านการขายและการบริหารจัดการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แม้การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิก็ยังถูกกดดันโดยกำไรจากการดำเนินงานที่ลดลง และดอกเบี้ยรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่มียอดขายงวดนี้อยู่ที่ 35,185 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.4% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3 เท่ากับ 13.2% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน อยู่ที่ 14.1% เนื่องจากราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะราคาปลาทูน่าที่ใกล้จุดสูงสุด รวมถึงค่าเงินยุโรปที่อ่อนตัว และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น อีกทั้ง คาดว่าปี 61 อัตรากำไรขั้นต้นจะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 15% ได้ เพราะประเมินว่า ราคาทูน่ามีแนวโน้มกลับมาสู่ภาวะปกติ ขณะที่
บริษัทยังคงใช้มาตรการลดต้นทุน ขณะเดียวกัน ราคาปลาทูน่าในไตรมาส 4/60 มีแนวโน้มอ่อนตัวลง เมื่อพิจารณาจากไตรมาส 3 ราคาอยู่ที่ประมาณ 2,300 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ขณะที่ในเดือน ต.ค. ราคาอ่อนตัวลงมาที่บริเวณ 2 พันเหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และการที่ TU ใช้กลกลยุทธ์การกระจายการลงทุนและสินค้าให้ครอบคลุมหลายภูมิภาค ช่วยทำให้รองรับความผันผวนของตลาด และของอุตสาหกรรมได้
นายธีรพงศ์ มองตลาดในจีน และอินเดีย ยังเป็นตลาดที่ดี ส่วนจีนขณะนี้มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 75 ล้านหยวน และคาดว่าปี 61 จะเติบโตเท่าตัว และได้ตั้งเป้าภายในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 700 ล้านหยวน ขณะที่ตลาดอินเดีย บริษัทได้ร่วมทำธุรกิจกับพันธมิตรก็ยังมีการเติบโต และส่วนตลาดในตะวันออกกลาง ชะลอตัวลง เนื่องจากปัจจัยการเมืองที่ไม่แน่นอน
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อ 6 พ.ย. 60 ว่า บอร์ดอนุมัติการทำสัญญาเช่าพื้นที่โกดังสินค้าของบริษัท ไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท กับผู้ให้เช่า คือ บริษัทแฟคตอรี่ สตอเรจ เซอร์วิส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่เกี่ยวโยงกัน ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อใช้เก็บบรรจุภัณฑ์สินค้า และมีพื้นที่ในการติดฉลากระหว่างการปรับปรุงพื้นที่ของ TUM เป็นระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ถึงวันที่ 31ธันวาคม 2561 มูลค่า 8.35 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นรายการเช่าอสังหาริมทรัพย์ระยะสั้น
ทั้งนี้ รายการนี้มีบุคคลที่เกี่ยวโยงกัน คือ นายเชง นิรุตตินานนท์ กรรมการบริษัท และเป็นบิดาของนายนคร นิรุตตินานนท์ และนางนรมน นิรุตตินานนท์ ซึ่งเป็นบุตรชาย และสะใภ้ และเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นของบริษัท แฟคตอรี่ สตอเรจ เซอร์วิส จำกัด ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบมีความเห็นว่า รายการที่เกี่ยวโยงกันดังกล่าวเป็นรายการที่จะเกิดประโยชน์ต่อบริษัท และมีส่วนช่วยสนับสนุนให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมกันนี้ บอร์ดยังอนุมัติการซื้อหุ้นของบริษัท ยู่เฉียงแคนฟู้ด จำกัด (YCC) โดยบริษัท สงขลาแคนนิ่ง จำกัด (มหาชน) (SC) จาก Mr. Chengwo Chyang ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิม 4.96% จากเดิมที่บริษัท SC ถือหุ้นในบริษัท YCC อยู่ 95.04% ให้เป็น 100.00% โดยมูลค่าซื้อขา 4.96% ของบริษัท ยู่เฉียงแคนฟู้ด จำกัด 44.42 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน TU ยังแจ้งผลงานไตรมาส 3 ปี 60 ว่ามีกำไรสุทธิ 1,594.42 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 142.42 ล้านบาท คิดเป็น 8.93% เนื่องจากเป็นผลดีจากแม้อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวน และราคาวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น แต่บริษัทได้รับผลดีจากเรด ล็อบสเตอร์ ในสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งสามารถกำไรสุทธิได้ 380 ล้านบาท รวมถึงมาตรการการลดต้นทุน โดยค่าใช้จ่ายด้านการขายและการบริหารจัดการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แม้การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิก็ยังถูกกดดันโดยกำไรจากการดำเนินงานที่ลดลง และดอกเบี้ยรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่มียอดขายงวดนี้อยู่ที่ 35,185 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.4% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3 เท่ากับ 13.2% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน อยู่ที่ 14.1% เนื่องจากราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะราคาปลาทูน่าที่ใกล้จุดสูงสุด รวมถึงค่าเงินยุโรปที่อ่อนตัว และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น อีกทั้ง คาดว่าปี 61 อัตรากำไรขั้นต้นจะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 15% ได้ เพราะประเมินว่า ราคาทูน่ามีแนวโน้มกลับมาสู่ภาวะปกติ ขณะที่
บริษัทยังคงใช้มาตรการลดต้นทุน ขณะเดียวกัน ราคาปลาทูน่าในไตรมาส 4/60 มีแนวโน้มอ่อนตัวลง เมื่อพิจารณาจากไตรมาส 3 ราคาอยู่ที่ประมาณ 2,300 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ขณะที่ในเดือน ต.ค. ราคาอ่อนตัวลงมาที่บริเวณ 2 พันเหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และการที่ TU ใช้กลกลยุทธ์การกระจายการลงทุนและสินค้าให้ครอบคลุมหลายภูมิภาค ช่วยทำให้รองรับความผันผวนของตลาด และของอุตสาหกรรมได้
นายธีรพงศ์ มองตลาดในจีน และอินเดีย ยังเป็นตลาดที่ดี ส่วนจีนขณะนี้มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 75 ล้านหยวน และคาดว่าปี 61 จะเติบโตเท่าตัว และได้ตั้งเป้าภายในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 700 ล้านหยวน ขณะที่ตลาดอินเดีย บริษัทได้ร่วมทำธุรกิจกับพันธมิตรก็ยังมีการเติบโต และส่วนตลาดในตะวันออกกลาง ชะลอตัวลง เนื่องจากปัจจัยการเมืองที่ไม่แน่นอน