บมจ. โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ กำไรสุทธิงวด 9 เดือน 3,360 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 555 ล้านบาท หรือ 19.79% จากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นหลังการขยายสาขาใหม่ต่อเนื่อง
นางสาววรรณี จันทามงคล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบัญชีและการเงิน บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO แจ้งผลการเงินงานประจำงวดไตรมาส 3 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,183.00 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.09 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 948.42 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.07 บาท ขณะที่งวด 9 เดือนกำไรสุทธิ 3,360.43 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.26 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนกำไรสุทธิ 2,805.27 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.21 บาท คิดเป็นกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 555.16 ล้านบาท หรือ 19.79%
ขณะที่งวด 9 เดือน รายได้รวม 47,201.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,145.72 ล้านบาท หรือ 4.76% โดยเพิ่มขึ้นจากรายได้จากการขาย 44,170.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,096.48 ล้านบาท หรือ 4.98% ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตจากยอดขายสาขาใหม่ ทั้งธุรกิจโฮมโปร, เมกา โฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย รายได้ค่าเช่าและบริการ 1,378.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.35 ล้านบาท หรือ 2.86% เป็นผลมาจากรายได้ค่าเช่าที่สูงขึ้นจากพื้นที่ให้เช่าของสาขาโฮมโปร ที่เปิดใหม่ในปี 2559 และรายได้อื่น 1,651.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 10.89 ล้านบาท หรือ 0.66% โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้จากค่าบริการ “Home Service” และการเลื่อนกิจกรรมทางการตลาดไปในช่วงไตรมาสที่ 4
ขณะที่กำไรขั้นต้น 11,523.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 886.79 ล้านบาท หรือ 8.34% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 25.28% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.09% โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของส่วนผสมสินค้ามีไว้เพื่อขายทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป และกลุ่มสินค้า Direct Sourcing การวางแผนการจัดซื้อสินค้า รวมถึงธุรกิจเมกา โฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย ที่มีอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้นจากการได้ผลประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดมากขึ้น
ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 10,068.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 373.40 ล้านบาท หรือ 3.85% เมื่อเทียบกับปีก่อน ปัจจัยหลักของการเพิ่มขึ้นที่เป็นตัวเงินเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายกลุ่มเงินเดือน ต้นทุนการในการให้บริการแก่ลูกค้า ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายทางการตลาด อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายมีการปรับตัวดีขึ้น โดยลดลงจาก 23.04% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 22.79% ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น