ตลท. ตั้งเป้าเพิ่มมาร์เกตแคปปีละ 5.5 แสนล้านบาท หวังดันมูลค่าซื้อขายแตะ 1 แสนล้านบาทต่อวัน จากปัจจุบันที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาทต่อวัน
นายสันติ กีระนันท์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท. ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (Market Cap) เฉลี่ยปีละ 5.5 แสนล้านบาท โดยจะผลักดันและสนับสนุนให้มีบริษัทเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น และการที่ช่วยผลักดันให้มูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่ม) สามารถขึ้นไปแตะระดับ 1 แสนล้านบาทต่อวัน จากปัจจุบันที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาทต่อวัน
ในช่วงที่ผ่านมาของปีนี้มีหุ้นที่เสนอขาย IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้ง SET และ mai มูลค่ารวมกัน 3.2-3.5 แสนล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ ตลท. ตั้งไว้ 2.8 แสนล้านบาท โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีบริษัทจดทะเบียนที่ทยอยเสนอขาย IPO จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เหลืออีก 15 บริษัท
พร้อมทั้งจะมีกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) อาเซียน ซึ่งเป็นกองทุนจากต่างประเทศที่แท้จริงรายแรกที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยรูปแบบ Foreign Listing ในช่วงต้นเดือน ธ.ค. นี้ มูลค่า 5 พันล้านบาท หลังจากช่วงที่ผ่านมาของปีนี้มีบริษัทจดทะเบียนจากต่างชาติที่เป็นลูกผสมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 4 บริษัทแล้ว
นายสันติ กล่าวว่า การที่ ตลท. จะพยายามผลักดันและสนับสนุนให้มีบริษัทเข้าจดทะเบียนเพิ่มมากขึ้น และมีบริษัทต่าง ๆ สนใจเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นจำนวนมาก เพราะเป็นการยกระดับบริษัทให้มีมาตรฐาน และเป็นหนทางก้าวไปสู่การเป็นบริษัทระดับโลก รวมถึงการมีต้นทุนทางการเงินลดลง นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศให้สนใจลงทุน
ขณะเดียวกัน ตลท. มุ่งเน้นให้บริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนมีความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ และการเปิดเผยข้อมูล เพราะการเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะมีความเกี่ยวข้องกับประชาชนในวงกว้าง ทำให้ปัจจุบัน ตลท. ได้มีการเดินสายอบรมและให้ความรู้กับบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องธรรมภาภิบาลของบริษัท โดยมีการจัดคลาสที่ชื่อว่า “IPO Focus”
ปัจจุบัน ตลท. มีบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 675 บริษัท และมีมูลค่า Market Cap อยู่ที่ 17 ล้านล้านบาท แต่ยังมีบริษัทจดทะเบียนราว 10 บริษัทที่เข้าข่ายเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีความเสี่ยงในการเพิกถอน เนื่องจากมีส่วนทุน (Equity) ของลดลงถึงขั้นติดลบจากราคาหุ้นที่ลดลง และสินทรัพย์ของบริษัทลดลง รวมทั้งบริษัทจดทะเบียนที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP ให้พักการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นระยะเวลาที่นานด้วย
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) ยังยืนอยู่ได้ในระดับ 1,700 จุด ถือว่ามีความแข็งแกร่งมากกว่าดัชนี SET ที่ทำสถิติสูงสุดตลอดกาลเมื่อ 24 ปีก่อน อยู่ที่ 1,753 จุด เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 37 เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น จาก Market Cap ใหญ่ขึ้นเป็น 17 ล้านล้านบาท จากช่วง 24 ปีก่อนที่ 3.3 ล้านล้านบาท และมีโครงสร้างนักลงทุนที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งสัดส่วนนักลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดา และนักลงทุนสถาบัน อยู่ที่ 50:50
นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนไทยยังมีความแข็งแกร่งและเข้มแข็งกว่าเมื่อ 24 ก่อนอย่างมาก พร้อมกับปัจจัยต่าง ๆ ในประเทศที่มีทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับภาครัฐได้มีการลงทุนและการเข้ามาแก้ปัญหาทางด้านโครงสร้างในประเทศ เพื่อเป็นการกระจายรายได้ และลดช่องว่างความเลื่อมล้ำต่าง ๆ ให้ลดลงไป ซึ่งช่วยให้ประเทศไทยสามารถเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่อย่างไรก็ตาม ยังจะต้องเผชิญกับปัจจัยกดดันจากภายนอกที่จะส่งผลต่อการลงทุนของตลาดหุ้นไทยอยู่บ้าง เช่น การลดขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ การลดการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE) ของธนาคารกลางยุโรป และในอนาคต มีความเป็นไปได้ที่ญี่ปุ่นจะเป็นประเทศต่อไปที่จะเริ่มทยอยลดการทำ QE แต่ก็คาดว่าจะไม่กดดันกับตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ เพราะในช่วงที่ผานมา ตลาดหุ้นไทยได้อานิสงส์เชิงบวกจากเงินที่ทำ QE น้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค
ส่วนกรณีที่ ตลท. ขึ้นเครื่องหมาย SP หุ้น บมจ. กรุ๊ปลีส (GL) เป็นเวลา 1 วัน เป็นไปตามนโยบายของ ตลท. หลังจากที่ผู้ตรวจสอบบัญชีไม่ลงความเห็นในงบการเงินของ GL ซึ่งทาง ตลท. ไม่มีอำนาจในการตัดสินว่า GL กระทำถูกหรือผิด ซึ่งการขึ้นเครื่องหมาย SP เป็นระยะเวลา 1 วัน เพื่อให้นักลงทุนซึ่งศึกษาข้อมูลของ GL อย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนต่อไปอย่างไร