จากรายงานบริษัท เจแอลแอล (JLL) แจ้งว่า ปัจจุบัน coworking space หรือบริการให้เช่าที่นั่งทำงานร่วม กำลังเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งนี้ ผู้ประกอบการในกรุงเทพฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เปิดให้บริการในตึกขนาดเล็ก ขนาดกลาง และเริ่มเปิดให้บริการในอาคารสำนักงานอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ coworking space จากต่างประเทศหลายรายมีแผนเข้ามาเปิดบริการในกรุงเทพฯ
นางสาวยุพา เสถียรภาพอยุทธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการธุรกิจอาคารสำนักงาน เจแอลแอล กล่าวว่า ผู้ประกอบการ coworking space หลายรายทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกกำลังหาโอกาสเข้ามาเปิดธุรกิจในกรุงเทพฯ ซึ่งส่วนใหญ่มีแผนที่เข้ามาอย่างเต็มรูปแบบ โดยต้องการพื้นที่สำนักงานขนาดใหญ่ 1,000-3,000 ตารางเมตรในอาคารสำนักงานเกรดเอ ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า หรือรถไฟฟ้าใต้ดิน
“ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการเหล่านี้ต้องการเข้ามาลงทุนในรูปของการเป็นหุ้นส่วนกับเจ้าของอาคาร โดยเสนอการแบ่งปันผลกำไรที่ได้จากการดำเนินการให้ แลกกับการจ่ายค่าเช่าในอัตราต่ำกว่าทั่วไป อย่างไรก็ดี ข้อตกลงการเป็นหุ้นส่วนในลักษณะดังกล่าวยังเป็นแนวคิดใหม่สำหรับเจ้าของอาคารในกรุงเทพฯ ซึ่งส่วนใหญ่ยังต้องการเก็บค่าเช่าเต็มอัตรามากกว่า โดยเฉพาะในภาวะปัจจุบันที่ตลาดอาคารสำนักงานเกรดเอ มีปริมาณไม่เพียงพอ”
นางสาวยุพา กล่าวว่า ภาวะขาดแคลนพื้นที่สำนักงานนับเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ coworking space รายใหญ่ที่ต้องการเข้ามาเปิดธุรกิจ และรายปัจจุบันที่ต้องการขยายกิจการ เนื่องจากอาคารสำนักงานคุณภาพดีในทำเลใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟใต้ดิน ส่วนใหญ่มีผู้เช่าเต็ม หรือเกือบเต็ม ทำให้ผู้ประกอบการ coworking space บางรายต้องหันไปพิจารณาอาคารสำนักงานเกรดรอง ในแนวสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส และMRT
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการ coworking space รายใหม่ หรือรายเดิม ที่ต้องการขยายสาขา บางรายต้องหันไปเลือกพิจารณาอาคารเกรดเอ ที่กำลังใกล้จะสร้างเสร็จ ซึ่งโดยทั่วไป ยังคงมีพื้นที่ว่างเหลือให้จับจองมากกว่าอาคารที่มีอยู่เดิม ทั้งนี้ ธุรกิจ coworking space ในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อไปอีก เพราะนอกเหนือจากธุรกิจสตาร์ทอัป และผู้ทำงานอิสระ มีความเป็นไปได้ที่บริษัท หรือองค์กรขนาดใหญ่ จะหันมาใช้บริการ coworking space ด้วย ดังที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ