PwC แนะผู้ประกอบการ-ผู้เสียภาษี เตรียมรับมือผลกระทบ หลังไทยยกเครื่องปรับโครงสร้างภาษีหลายด้าน
นายสมบูรณ์ วีระวุฒิวงศ์ หัวหน้าหุ้นส่วนกรรมการอาวุโสและกรรมการบริหารสายงานภาษีและกฎหมาย บริษัท พีดับบลิวซี คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบัน แนวทางการจัดเก็บภาษีทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตหลายด้าน อาทิ การที่ไทยเข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกโครงการป้องกันการถูกกัดกร่อนฐานภาษีและการโอนกำไรไปต่างประเทศ การประกาศใช้กฎหมายเพิ่มเติมสำคัญ 2 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและการเสียอากรขาเข้าของสินค้า รวมไปถึงกฎระเบียบและข้อบังคับใหม่ ๆ ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และการที่กรมสรรพากรนำระบบการคัดเลือกผู้เสียภาษีเพื่อกำกับและตรวจสอบ มาใช้ในการตรวจสอบภาษี
จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ผู้เสียภาษีต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวที่อาจจะส่งผลกระทบต่อตัวธุรกิจ และผู้เสียภาษีเองได้ ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกฎหมาย และกฎระเบียบใหม่ ๆ รวมไปถึงการตรวจสอบที่เข้มงวด และเคร่งครัดขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ
สำหรับการประกาศใช้กฎหมายเพิ่มเติมที่สำคัญอีก 2 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและการเสียอากรขาเข้าของสินค้า ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปีนี้ โดยกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต โดยสาระสำคัญที่มีการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ได้แก่ หลักเกณฑ์การให้สินบนการอุทธรณ์และการตรวจสอบภาษี รวมถึงการเปลี่ยนวิธีการคำนวณฐานภาษีสรรพสามิตรูปแบบใหม่ จากเดิมอ้างอิงราคาหน้าโรงงาน และราคา CIF ท่าเรือ มาเป็นราคาขายปลีกแนะนำแทน ซึ่งอาจกระทบต่อโครงสร้างต้นทุนของธุรกิจ
นอกเหนือจากแนวทางการจัดเก็บภาษีที่เปลี่ยนแปลงไปในหลากหลายมิติแล้ว อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ผู้เสียภาษีต้องเตรียมความพร้อม คือ การตรวจสอบภาษี ที่จะเข้มงวดมากขึ้น หลังจากการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 ที่ผ่านมาต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 47,853 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลได้นำระบบการคัดเลือกผู้เสียภาษีเพื่อกำกับ และตรวจสอบ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและการจัดเก็บภาษีของรัฐให้ได้มากยิ่งขึ้น
นายสมบูรณ์ วีระวุฒิวงศ์ หัวหน้าหุ้นส่วนกรรมการอาวุโสและกรรมการบริหารสายงานภาษีและกฎหมาย บริษัท พีดับบลิวซี คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบัน แนวทางการจัดเก็บภาษีทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตหลายด้าน อาทิ การที่ไทยเข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกโครงการป้องกันการถูกกัดกร่อนฐานภาษีและการโอนกำไรไปต่างประเทศ การประกาศใช้กฎหมายเพิ่มเติมสำคัญ 2 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและการเสียอากรขาเข้าของสินค้า รวมไปถึงกฎระเบียบและข้อบังคับใหม่ ๆ ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และการที่กรมสรรพากรนำระบบการคัดเลือกผู้เสียภาษีเพื่อกำกับและตรวจสอบ มาใช้ในการตรวจสอบภาษี
จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ผู้เสียภาษีต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวที่อาจจะส่งผลกระทบต่อตัวธุรกิจ และผู้เสียภาษีเองได้ ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกฎหมาย และกฎระเบียบใหม่ ๆ รวมไปถึงการตรวจสอบที่เข้มงวด และเคร่งครัดขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ
สำหรับการประกาศใช้กฎหมายเพิ่มเติมที่สำคัญอีก 2 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและการเสียอากรขาเข้าของสินค้า ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปีนี้ โดยกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต โดยสาระสำคัญที่มีการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ได้แก่ หลักเกณฑ์การให้สินบนการอุทธรณ์และการตรวจสอบภาษี รวมถึงการเปลี่ยนวิธีการคำนวณฐานภาษีสรรพสามิตรูปแบบใหม่ จากเดิมอ้างอิงราคาหน้าโรงงาน และราคา CIF ท่าเรือ มาเป็นราคาขายปลีกแนะนำแทน ซึ่งอาจกระทบต่อโครงสร้างต้นทุนของธุรกิจ
นอกเหนือจากแนวทางการจัดเก็บภาษีที่เปลี่ยนแปลงไปในหลากหลายมิติแล้ว อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ผู้เสียภาษีต้องเตรียมความพร้อม คือ การตรวจสอบภาษี ที่จะเข้มงวดมากขึ้น หลังจากการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 ที่ผ่านมาต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 47,853 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลได้นำระบบการคัดเลือกผู้เสียภาษีเพื่อกำกับ และตรวจสอบ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและการจัดเก็บภาษีของรัฐให้ได้มากยิ่งขึ้น