นักลงทุนแห่ทิ้งหุ้น บมจ. กรุ๊ปลีส หลังตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งปลดเอสพี หวั่นผลกระทบจากกรณีที่สำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้บริหารทำธุรกรรมอำพราง เพื่อทำให้ผลการดำเนินงานสูงเกินจริง ปิดภาคเช้าที่ 15.50 บาท ลดลง 6.60 บาท หรือคิดเป็น 29.86% มูลค่าการซื้อขายรวมเกือบ 123 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นร่วง 2.80 จุด ปิดที่ 1,723.87 จุด มูลค่าการซื้อขายรวม 3.3 หมื่นล้านบาท
เช้าวันนี้ (17 ต.ค.) นักลงทุนเทขายหลักทรัพย์บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่เปิดการซื้อขายตลาดในภาคเช้า หลังจากตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งปลดเครื่องหมาย SP ทำให้ราคาร่วงติดฟลอร์ โดยเปิดตลาดที่ราคา 15.50 บาท ลดลงจากวันก่อน 6.60 บาท หรือคิดเป็น 29.86% และยืนที่ระดับราคาดังกล่าวจนปิดการซื้อขายภาคเช้าด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 122.98 ล้านบาท
ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (16 ต.ค.) ปรับตัวลดลงในแดนลบเช่นเดียวกัน แม้จะยืนอยู่แดนบวกได้สักพัก ก่อนจะลดลงแตะระดับต่ำสุดที่ 1,720.27 จุด สูงสุดที่ 1,729.80 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายภาคเช้าที่ 1,723.87 จุด ลดลงจากวันก่อน 2.80 จุด หรือคิดเป็น 0.16% มูลค่าการซื้อขาย 32,668.26 ล้านบาท
ด้าน บมจ. กรุ๊ปลีส (GL) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ได้พ้นจากตำแหน่งประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทแล้ว โดยมีผลตั้งแต่เมื่อวานนี้ (16 ต.ค.) สืบเนื่องจากข่าวสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ฉบับที่ 95/2560 เรื่องกล่าวโทษผู้บริหาร GL ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีทุจริตทำธุรกรรมอำพราง เพื่อให้ผลประกอบการสูงเกินความจริง
ทั้งนี้ การพ้นจากตำแหน่งของนายมิทซึจิ โคโนชิตะ ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท โดยบริษัทยังคงมีสภาพคล่องสูง และมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงที่จะสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ และยังยืนยันว่าข้อมูลที่บริษัทชี้แจง รวมถึงคำชี้แจงเมื่อวันที่ 13 มี.ค. 60 นั้น เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทอยู่ระหว่างการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อสรรหากรรมการที่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย เพื่อเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ และแต่งตั้งประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท โดยจะมีการจัดประชุมคณะกรรมการบริษัท เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าวในวันที่ 18 ต.ค.
ขณะที่นักวิเคราะห์ได้ให้ความเห็นว่า นักลงทุนควรลงทุนหุ้น GL อย่างรอบคอบ หลังจากที่ถูกสำนักงาน ก.ล.ต. แจ้งความดำเนินคดีกับผู้บริหาร ส่งผลต่อแผนการดำเนินงานในอนาคต ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทได้