KTAM คาดกำไร บจ. ไทยปีหน้าโต 10% ดัน SET ขึ้นไป 1,770 จุด ระบุระยะสั้นพุ่งขึ้นจากเงินทุนต่างประเทศ
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า บริษัทมีมุมมองตลาดหุ้นไทยว่าบริษัทคาดการณ์การเติบโตในปีหน้าไว้ที่ 10% คิดเป็น EPS ราว 108 บาทต่อหุ้น คิดด้วย PE 16.5 เท่า จะได้ดัชนีราว 1,770 จุด ระยะสั้นราคาได้ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจากเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น ทำให้อาจมีแรงขายทำกำไรสร้างความผันผวนบ้าง แต่ในระยะยาว การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เม็ดเงินลงทุนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงแข็งแกร่ง และภาวะดอกเบี้ยต่ำ น่าจะช่วยผลักดันดัชนีให้เพิ่มสูงขึ้นได้
กลยุทธ์การลงทุนจะยังเน้นสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดหุ้นเป็นหลัก และตราสารหนี้ระยะสั้น โดยคาดว่าดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น จากผลกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดพัฒนาแล้ว และตลาดเกิดใหม่ ที่เริ่มอยู่ในระดับสูง และจะทำจุดสูงสุดใหม่หากการเติบโตยังมีอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ สภาวะเศรษฐกิจของไทยเริ่มที่จะมีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการปรับตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยขึ้นจาก 3.5% เป็น 3.8% รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจของโลกเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของตลาดพัฒนาแล้ว รวมถึงจีนเองเช่นเดียวกัน
นางชวินดา กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการจัดการลงทุนมีมติจ่ายเงินปันผล 2 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดกรุงไทย ซีเล็คทีฟ อิควิตี้ ฟันด์ (KTSE) ครั้งที่ 3/2560 ในอัตรา 0.50 บาทต่อหน่วย สำหรับรอบผลการดำเนินงานสิ้นสุด ณ วันที่ 29 กันยายน 2560 และกองทุนเปิดกรุงไทย หุ้นซีแอลเอ็มวีที (KT-CLMVT Class D) ครั้งที่ 1/2560 ในอัตรา 0.50 บาทต่อหน่วย สำหรับผลการดำเนินงานสิ้นสุด ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2560 โดยทั้ง 2 กองทุนจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 ตุลาคม 2560
กองทุน KTSE เน้นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนแก่นักลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะผ่านการจ่ายเงินปันผล หรือการเติบโตของเงินลงทุน ซึ่งในปีนี้ได้มีการจ่ายปันผลไปแล้วถึง 3 ครั้ง เป็นจำนวน 1.50 บาท หรือคิดเป็นประมาณ 10% ของมูลค่า NAV โดยกองทุนมีนโยบายเน้นลงทุนในหลักทรัพย์เป็นรายตัว โดยเฉพาะหลักทรัพย์ขนาดกลางและเล็ก ที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่สูง และสามารถเติบโตในอนาคตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน ที่ธุรกิจได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หรืออาจจะมีอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น บริษัทที่สามารถปรับตัว ให้เข้ากับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ จะได้รับประโยชน์มากที่สุด
ส่วนกองทุน KT-CLMVT มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียน ได้แก่ กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ เวียดนาม และไทย ที่มีการลงทุนหรือรายได้จากประเทศในกลุ่ม CLMV สำหรับผลตอบแทนในอนาคต กองทุนมีโอกาสในการสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว เนื่องจากประเทศ CLMV เป็นกลุ่มประเทศชายขอบ หรือ Frontier Countries ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกอย่างมาก อีกทั้งเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดด มีโครงสร้างประชากรในวัยแรงงานสูง และการบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามการขยายตัวของชนชั้นกลาง และสังคมเมือง
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในประเทศเหล่านี้ยังมีอุปสรรคในการเข้าถึงข้อมูล ดังนั้น บริษัทจึงได้จัดตั้งทีมงานเพื่อลงทุนในประเทศเหล่านี้โดยเฉพาะ ซึ่งประกอบไปด้วยทีมผู้จัดการกองทุนและทีมนักวิเคราะห์ของบริษัท และมีการลงพื้นที่พบปะกับผู้บริหารอย่างสม่ำเสมอ โดยก่อนจัดตั้งกองทุนบริษัทได้ลงพื้นที่ เพื่อทำการวิเคราะห์การลงทุนในตลาด CLMV เป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปี เพื่อสร้างความมั่นใจต่อการลงทุน ทั้งยังติดตามภาวะเศรษฐกิจ และสถานการณ์ของบริษัทในตลาดอย่างต่อเนื่อง
ในเดือนที่ผ่านมา ทีมผู้จัดการกองทุนได้ทำการลงพื้นที่ในเวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่กองทุนให้ความสำคัญค่อนข้างมาก ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 40% ของ NAV ซึ่งจากการลงพื้นที่ดังกล่าว บริษัทยังคงเห็นว่า เศรษฐกิจเวียดนามจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดย GDP ปีนี้คาดว่าเพิ่มขึ้นประมาณ 6.5% กองทุนนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนในระยะยาว ที่ต้องการลงทุนในประเทศเกิดใหม่เหล่านี้ โดยมีผู้เชี่ยวชาญบริหารเงินลงทุนให้กับผู้ถือหน่วย