ก.ล.ต. พร้อมศึกษาแก้กฎหมายฟ้องร้องเรียกเงินคืนให้กับบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากผู้บริหารทุจริต เผยสถิติการลงโทษทางแพ่งไปแล้ว 8 คดี 21 ราย ส่งเงินเป็นรายได้แผ่นดินกว่า 50 ล้านบาท
นายสมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายบังคับใช้กฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต. อยู่ระหว่างการศึกษา แก้กฎหมายเพิ่มการฟ้องร้องเรียกเงินคืนให้กับบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากผู้บริหารทุจริต ซึ่งจะเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริง รวมถึงคิดอัตราดอกเบี้ยด้วย ซึ่งปัจจุบัน ผู้กระทำผิดคดีทุจริตต้องถูกดำเนินคดีอาญาเท่านั้น และไม่สามารถดำเนินคดีทางแพ่งควบคู่ไปด้วย ดังนั้น ต้องมีการพิจารณาแก้กฎหมายให้สามารถใช้ร่วมกันในครั้งเดียวได้หรือไม่ และหากมีความเป็นไปได้ จะสามารถนำมาบังคับใช้ใน พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ฉบับที่ 7-8
สำหรับในช่วง 10 เดือน ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ดำเนินการกับผู้กระทำผิดกฎหมายหลักทรัพย์ด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล จำนวน 8 คดี กับผู้กระทำผิด 21 ราย ได้แก่ ความผิดฐานใช้ข้อมูลภายในก่อนเปิดเผยต่อประชาชน และความผิดเกี่ยวกับการขาดความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน โดยเป็นเงินค่าปรับทางแพ่งจำนวนกว่า 31 ล้านบาท และให้ชดใช้เงินเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับจำนวน 19.6 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว ก.ล.ต. นำส่งให้กระทรวงการคลังเป็นรายได้แผ่นดินทั้งหมดจำนวนกว่า 50 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มาตรการลงโทษทางแพ่งเป็นทางเลือกในการดำเนินการกับผู้กระทำความผิดกฎหมายหลักทรัพย์ ที่ช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยกระบวนการที่เป็นธรรมโดยคณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) ซึ่งมีอัยการสูงสุดเป็นประธาน และผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน ร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมในการใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง แต่หากพบว่าผู้กระทำความผิดไม่ชำระเงิน หรือชำระไม่ครบถ้วนตามที่ได้ยินยอมไว้ หรือไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่ง ก.ล.ต. สามารถร้องขอต่อศาลแพ่งเพื่อบังคับคดีได้
ขณะที่ความผิดตามกฎหมายหลักทรัพย์ในเรื่องอื่นที่เป็นความผิดร้ายแรง เช่น การทุจริต การระดมทุน หรือประกอบธุรกิจหลักทรัพย์โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นต้น ยังคงต้องดำเนินคดีอาญาโดยกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเพื่อนำไปสู่การพิจารณาของศาลต่อไป