ทีโอเอ เพ้นท์ เข้าซื้อขายหุ้น IPO ในตลาดหุ้นไทยเป็นวันแรก เผยพอใจราคาหุ้นจากการตอบรับของนักลงทุนเป็นอย่างดี เปิดตลาดที่ 28.00 บาทต่อหุ้น สูงกว่าราคา IPO ซึ่งอยู่ที่ 24.00 บาทต่อหุ้น หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 16.67% มูลค่าการซื้อขาย 1,707.44 ล้านบาท เหตุความเชื่อมั่นปัจจัยพื้นฐานของบริษัทลดเป้ารายได้และกำไรในปีนี้ลงเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากสภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย อีกทั้งยังมีต้นทุนในการผลิตเพิ่มขึ้น ประเมินรายได้ปี 2561 หลังเข้าตลาดหุ้นแล้วจะเติบโตไม่น้อยกว่า 10% เชื่อมั่นว่า ตลาดอสังหาฯ จะทยอยฟื้นตัว ส่วนยอดขายต่างประเทศคาดว่าจะดีขึ้นหลังโรงงานสร้างเสร็จ
นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA กล่าวว่า รู้สึกพอใจราคาหุ้นที่เข้าทำการซื้อขายวันแรก ซึ่งมีราคาที่สูงกว่าราคาจอง โดยมองว่า สาเหตุหลักมาจากการที่บริษัทมีปัจจัยพื้นฐาน และมีความเชื่อมั่นในธุรกิจ ซึ่งเป็นของไทย และที่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปใช้ลงทุนในการสร้างโรงงานผลิตสีแห่งใหม่ ซึ่งอยู่ในต่างประเทศ จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย, พม่า และกัมพูชา โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมกันทั้งหมดประมาณ 1,184 ล้านบาท และจะส่งผลให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 102.5 ล้านแกลลอนต่อปี จากปัจจุบันที่ 88 ล้านแกลลอนต่อปี ทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดสีในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้น
“เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะนำไปใช้ในการสร้างโรงงานใหม่ในต่างประเทศ ซึ่งหลังจากโรงงานผลิตทั้ง 3 แห่งก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มเปิดดำเนินการผลิตในเชิงพาณิชย์แล้ว จะสามารถผลักดันรายได้ และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดสีในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซีย ที่บริษัทฯ เข้าไปลงทุนขยายตลาดได้ประมาณ 5-6 ปี ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ และมีศักยภาพในการเติบโต เนื่องจากมีจำนวนประชากรกว่า 250 ล้านคน ทำให้มีโอกาสที่จะเพิ่มยอดขายสีเกรดพรีเมียมที่มีคุณภาพสูง ในส่วนของประเทศพม่า และกัมพูชา ที่ยังเป็นตลาดใหม่ มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากยังมีความต้องการในการพัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่จะขยายตัวตามการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ อีกทั้งยังมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศอีกด้วย”
ขณะที่ในส่วนของรายได้และกำไรปี 2560 บริษัทมองว่าจะต่ำกว่าปี 2559 ซึ่งมีรายได้ที่ประมาณ 16,500 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,520 ล้านบาท สืบเนื่องมาจากการที่ภาพรวมตลาดในประเทศปัจจุบันนี้อยู่ในภาวะซบเซา อีกทั้งยังมีต้นทุนการผลิตที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา ผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2560 บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 7,710 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของกำไรสุทธิทำได้เพียง 894.5 ล้านบาท โดยบริษัทฯตั้งเป้าว่า รายได้ในปี 2561 หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นแล้วจะเติบโตไม่น้อยกว่า 10% เทียบจากปี 2560 เนื่องจากประเมินว่า สภาวะโดยรวมของตลาดจะฟื้นตัวขึ้นอีกทั้งโรงงานในต่างประเทศก็จะสามารถเดินสายพานการผลิตได้หลังสร้างเสร็จ ทำให้สามารถบวกยอดขายเพิ่มเข้าไปได้มากขึ้น ซึ่งมองว่า ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า รายได้จากการขายในต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 18-20% จากปัจจุบัน ซึ่งทำได้เพียง 13% เท่านั้น