“ดู เดย์ ดรีม” เดินหน้าเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ หวังขยายตลาดแบรนด์สินค้าเวชสำอางทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดจีน เผยผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2560 ทำกำไร 209 ล้านบาท จากการเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ Premium Mass ตลอดจนขยายช่องทางการจัดจำหน่าย พร้อมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชน ตั้งเป้ายอดขายติดอันดับ 3 ของเอเซีย
นายปิยวัชร ราชพลสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ เตรียมที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 76,000,000 หุ้น โดยบริษัทฯ ได้ยื่นไฟลิ่งต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) แล้วในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย โดยมีวัตถุประสงค์การระดมทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตของโรงงานของบริษัทฯ ซึ่งตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ ให้พร้อมต่อการเจาะตลาดลูกค้าทั่วเอเชีย และยังใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ ในการขยายธุรกิจ อาทิ การปรับปรุงฝ่ายวิจัยและพัฒนา การปรับปรุงและขยายสำนักงานรวมทั้งเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยดู เดย์ ดรีม มั่นใจในศักยภาพของบริษัทฯ ที่พร้อมจะเดินหน้าสู่ความสำเร็จไปอีกขั้น กับเป้าหมายการขึ้นเป็นท็อป 3 บริษัทฯ ชั้นนำด้านความงามของเอเชีย พร้อมรักษาขีดความสามารถในการสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และเติบโตหลังจากไอพีโอ
ขณะที่นายสราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลกำไรของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 28 ล้านบาทในปี 2557 เป็น 335 ล้านบาทในปี 2559 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่สูงถึงร้อยละ 248.8 ต่อปี โดยบริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.3 ในปี 2557 เป็นร้อยละ 27.8 ในปี 2559 และสำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2560 กำไรสุทธิของบริษัทฯ อยู่ที่ 209 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจาก 213 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการโฆษณา และส่งเสริมการขาย โดยการเติบโตในอนาคตของบริษัทฯ ยังมีแนวโน้มที่ดี จากรายได้ของผลิตภัณฑ์ทุกกลุ่มที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางการแข่งขันของผลิตภัณฑ์หลัก ซึ่งก็คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า และศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต ด้วยการเติบโตของยอดขายจากกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น
“เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 3 ผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์ความงามในเอเชียได้ในอนาคตอันใกล้ ตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ ดังนั้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า SNAILWHITE ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั้งในแนวดิ่งหรือการที่ลูกค้าแต่ละรายใช้ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้นในปริมาณที่มากขึ้น และในแนวราบหรือจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ”
ขณะที่นางสาวเสาวคนธ์ พรพัฒนารักษ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า “อุตสาหกรรมสกินแคร์มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการที่ผู้บริโภคหันมาใส่ใจในสุขภาพ และความงามมากขึ้น สำหรับในประเทศไทยธุรกิจสกินแคร์ ได้รับการจัดอันดับจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมดาวรุ่งในปี 2559 นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสริมจากโครงสร้างด้านประชากรศาสตร์ที่กำลังก้าวเข้าสู่ Aging Society ซึ่งเป็นโอกาสให้เราขยายตลาดผ่านการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้ครอบคลุมต่อความต้องการในตลาดมากขึ้น เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยและชะลอวัย รวมถึงผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายที่ปัจจุบันหันมาดูแลรูปลักษณ์ตนเองมากขึ้น นอกจากนี้ เทรนด์การเลือกสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน ยังช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้าอย่างไร้พรมแดน
“นอกจากโอกาสสำหรับตลาดในประเทศแล้ว บริษัทฯ ยังมีศักยภาพการแข่งขันที่โดดเด่น และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในกลุ่มผู้บริโภคทั่วเอเชีย โดยบริษัทฯ เล็งเห็นโอกาสการขยายตลาดในเอเชีย เพื่อสนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ ซึ่งเฉพาะในประเทศจีน ที่ตลาดสกินแคร์มีการเติบโตมากถึงร้อยละ 17 ต่อปี ที่จะใช้กลยุทธ์ทางการตลาดทั้งในระยะสั้น เช่น การออกผลิตภัณฑ์รุ่นพิเศษสำหรับตลาดจีน และระยะยาว เช่น การจับมือกับพันธมิตรผู้มีความชำนาญในแต่ละประเทศ ทั้งในด้านการผลิต บริหารจัดการ และกระจายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ” นางสาวเสาวคนธ์ กล่าวเสริม
ทั้งนี้ สัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทฯ ก่อนและภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จะเปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ สัดส่วนหุ้นของกลุ่มครอบครัวพรพัฒนารักษ์ เปลี่ยนแปลงจากร้อยละ 93.2 เป็นร้อยละ 70.8 หุ้นของ North Haven Thai Private Equity Clarity Company (HK) Limited ซึ่งเป็นกองทุนประเภท Private Equity ที่บริหารจัดการโดย Morgan Stanley จากจากร้อยละ 6.3 เป็นร้อยละ 4.7 สัดส่วนหุ้นโดยรวมของผู้หุ้นรายอื่น ๆ จากร้อยละ 0.6 เป็นร้อยละ 0.4 และสัดส่วนหุ้นของประชาชนทั่วไปหลังการเสนอขายหุ้นไอพีโอ จะคิดเป็นร้อยละ 24.05