ซิงเกิ้ล พอยท์ พาร์ท (ประเทศไทย) ควักเงิน 175.44 ล้านบาท จรดปากกาเซ็นสัญญาซื้อหุ้น TERA ในสัดส่วน 51% สยายปีกสู่ธุรกิจวางระบบและให้บริการด้านไอทีขนาดใหญ่แบบครบวงจร รองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ภาครัฐ “ดร. ปกรณ์ อาภาพันธุ์” มั่นใจเดินมาถูกทาง คาดผลงานปี 61 โตก้าวกระโดด ฝั่งผู้บริหาร TERA ลั่นครั่งนี้เป็น Big Change ที่จะทำให้บริษัทโตก้าวกระโดด เพิ่มโอกาสในการชิงเค้กบิ๊กโปรเจกต์ภาครัฐมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท
ดร. ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ประธานกรรมการ บริษัท ซิงเกิ้ล พอยท์ พาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SPPT เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เซ็นสัญญาซื้อหุ้นบริษัท เทอร์ราไบท์ เน็ท โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) (TERA) ผู้ประกอบธุรกิจวางระบบและให้บริการด้านไอทีขนาดใหญ่แบบครบวงจร (System Integration-SI) เช่น ระบบ Server, Storage, Network และ IT Security จากบริษัท เอนนี่ ไอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด นายสุรสิทธิ์ คิวประสพศักดิ์ และนายจิราวัฒน์ จารุฐิติพันธุ์ จำนวนทั้งสิ้น 87,720,000 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 51.00 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าลงทุน 175.44 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการขยายไลน์ธุรกิจจากการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มาสู่ธุรกิจวางระบบและให้บริการด้านไอทีขนาดใหญ่แบบครบวงจร เพื่อขยายฐานรายได้ สอดคล้องกับความต้องการของตลาด เนื่องจากเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
สำหรับการตัดสินใจของ SPPT ครั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับประเทศไทยที่จะก้าวเข้าสู่ยุคสังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ และสอดคล้องตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ผลประกอบการของบริษัทฯ เป็นไปในทิศทางที่ดี และเติบโตอย่างมั่นคง โดยเป็นไปตามแผนการปรับโครงสร้างกิจการของบริษัทฯ
“ที่ผ่านมา บริษัทฯ มองหาโอกาสในการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันรายได้และกำไรของ SPPT ให้เติบโต โดยนอกจากธุรกิจวางระบบและให้บริการด้านไอทีขนาดใหญ่แบบครบวงจรที่มีทิศทางที่สดใสแล้ว ในปีหน้ามีแผนที่จะรุกขยายธุรกิจไปสู่เทคโนโลยีเกี่ยวกับการวางระบบเน็ตเวิร์กในองค์กรทั้งของรัฐ และเอกชน รวมถึงมีแผนที่ขยายไปสู่ธุรกิจแอปพลิเคชัน แพลตฟอร์มต่าง ๆ ทำให้มีโอกาสที่ผลประกอบการในปี 2561 จะพลิกกลับมาเทิร์นอะราวนด์ได้” ดร. ปกรณ์ กล่าวในที่สุด
นายประพจน์ พลพิพัฒนพงศ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร SPPT กล่าวว่า การเข้าลงทุนใน TERA ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทฯ ในการขยายไลน์เข้าสู่ธุรกิจการวางระบบและให้บริการด้านไอทีขนาดใหญ่แบบครบวงจร ซึ่งมั่นใจว่าจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันรายได้และกำไรของบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น เนื่องจาก TERA ถือเป็นผู้ประกอบธุรกิจวางระบบและให้บริการด้านไอทีขนาดใหญ่แบบครบวงจร (System Integration-SI) เช่น ระบบ Server, Storage, Network และ IT Security โดยมีคู่ค้าภาคเอกชนชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ในหลายอุตสาหกรรม ไว้วางใจให้บริษัทฯเป็นผู้วางระบบ
นายสุรสิทธิ์ คิวประสพศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เทอร์ราไบท์ เน็ท โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TERA ผู้ประกอบธุรกิจวางระบบและให้บริการด้านไอทีขนาดใหญ่แบบครบวงจร กล่าวว่า การที่ SPPT ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้ามาถือหุ้นบริษัท จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับ TERA ในการขยายฐานกลุ่มลูกค้าเข้าสู่งานภาครัฐบาล และรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะมีการประมูลงานมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท เกี่ยวข้องกับการวางระบบไอที การวางโครงข่าย ระบบ และงานที่เกี่ยวกับระบบความมั่นคงปลอดภัยด้านไอที อีกทั้งยังเป็นการสร้างสมดุลของพอร์ตลูกค้าให้กับ TERA แข็งแรงมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีฐานลูกค้าภาคเอกชนเป็นหลัก
สำหรับ TERA ดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลากว่า 13 ปี ปัจจุบันมีรายได้เฉลี่ยปีละประมาณ 400 ล้านบาท เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี โดยมีจุดแข็งในส่วนของทีมงาน ซึ่งสัดส่วนเกินครึ่งเป็น Engineer มีความเชี่ยวชาญด้านการวางระบบไอที มีกลุ่มลูกค้าหลากหลาย อาทิ กลุ่มโตชิบา, กลุ่มเซ็นทรัล, กลุ่มนีโอ และบุญถาวร เป็นต้น