xs
xsm
sm
md
lg

ทรีนีตี้ แนะนำจับตามาตรการปฏิรูปภาษีสหรัฐฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ทรีนีตี้ ประเมินดัชนีหุ้นไทยเดือนตุลาคม แกว่งตัวออกด้านข้าง หรือย่อตัวลงเล็กน้อย หลังดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าในช่วงถัดไป จากนโยบายปฏิรูปภาษีทรัมป์ และการลดขนาดงบดุลของเฟด ดันอัตราผลตอบแทนพันบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น สกัดความร้อนแรงเม็ดเงินไหลเข้าไทย แนะซื้อขายกรอบ 1,620-1,690 จุด โฟกัสหุ้นส่งออก และกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการลดภาษีสหรัฐฯ

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนีตี้ หรือ TRINITY เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเดือนตุลาคมนี้ มีโอกาสที่จะชะลอตัวลงได้บ้าง หลังจากปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วในเดือนกันยายน เนื่องจากประเมินว่า กระแสเม็ดเงินต่างชาติที่เคยไหลเข้ามาเป็นจำนวนมากจะชะลอลง จากการคาดการณ์ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่า กดดันให้ค่าเงินบาท และสกุลเงินภูมิภาคเอเชีย มีทิศทางที่อ่อนค่าลง ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานด้านกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ยังไม่ได้ถูกปรับเพิ่มขึ้นตาม

ทั้งนี้ สัญญาณการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ เกิดจาก ความคืบหน้าของมาตรการปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ (Tax reform) ที่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศรายละเอียดออกมาแล้ว โดยมีไฮไลท์สำคัญ คือ การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงสู่ระดับ 20% จากปัจจุบันที่ 35% และลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดลงสู่ระดับ 35% จากปัจจุบันที่ 39.6%

รวมไปถึงภาษีเงินโอนกลับเข้าประเทศทั้งในส่วนของกำไร และเงินปันผล สำหรับธุรกิจที่ตั้งถิ่นฐานนอกสหรัฐฯ จากเดิมที่ตั้งกำแพงภาษีไว้สูง จะมีการปรับลดลงมา ซึ่งจะจูงใจให้บริษัทข้ามชาติขนเงินกลับประเทศมากขึ้น จึงมีโอกาสที่เม็ดเงินฟันด์โฟลว์จะไหลกลับสู่สหรัฐฯ โดยในเดือนตุลาคมนี้ จะเริ่มมีการรับฟังความคิดเห็นในสภาล่างของสหรัฐฯ เกี่ยวกับประเด็นปฏิรูปภาษีดังกล่าว ซึ่งคงต้องรอดูว่า ทางสภาคองเกรสจะใช้เวลาในการพิจารณารวดเร็วแค่ไหน

ขณะเดียวกัน ในส่วนนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ประกาศชัดเจนแล้วว่าจะมีการเริ่มต้นของกระบวนการลดขนาดงบดุลลงในเดือนตุลาคมนี้ ถึงแม้ว่าในช่วงแรกจะเกิดขึ้นเพียงเดือนละ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่จากระดับที่จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในปีหน้า น่าจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond yield) ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นได้ในช่วงถัดไป จนทำให้สินทรัพย์ของประเทศเกิดใหม่มีความน่าสนใจลดลงโดยเปรียบเทียบ

อีกหนึ่งสัญญาณความเสี่ยงต่อดัชนีหุ้นไทย คือ การเริ่มขายสุทธิของนักลงทุนพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ (Prop trade) หลังจากซื้อสุทธิขึ้นมาก่อนหน้านี้ถึง 13,000 ล้านบาท ซึ่งจากการศึกษาสถิติย้อนหลังพบว่า การเริ่มขายสุทธิของนักลงทุนกลุ่มนี้หลังจากที่ซื้อติดต่อกันมาในระดับ 10,000 ล้านบาท มักทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงในช่วง 2-4 สัปดาห์หลังจากนั้นราว 1-2%

อย่างไรก็ดี มองว่า ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงไม่มาก เนื่องจากยังมีปัจจัยบวกจากตัวเลขภาคการผลิตทั่วโลกที่ยังคงแข็งแกร่ง ทำให้ราคาโภคภัณฑ์สามารถยืนอยู่ในระดับสูงได้ เป็นบวกต่อกลุ่มวัฏจักร (Cyclical) ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีน้ำหนักสูงในตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้ ยังมีประเด็นจากเม็ดเงิน LTF/RMF ที่คาดว่าเตรียมไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งประเมินว่าจะอยู่ที่ระดับ 37,000 ล้านบาท อีกทั้งตลาดหุ้นไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดที่ได้ประโยชน์จากเม็ดเงินที่โยกย้ายมาจากตลาดหุ้นเอเชียเหนือ จากกรณีพิพาทระหว่างเกาหลีเหนือ และสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้น โดยมีข้อแม้ว่าต้องไม่เกิดการสู้รบขึ้นจริง

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนนั้น แนะนำถือเงินสดในระดับสูงกว่าปกติ แต่หากจะต้องลงทุนให้มองกรอบ 1,620-1,690 จุด เน้นกลุ่มส่งออก ซึ่งได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า และยังเป็นกลุ่มที่ยังปรับตัวแพ้ตลาดนับตั้งแต่ต้นปี จึงมีความปลอดภัย สามารถถือลงทุนได้ต่อไป อาทิ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, อาหาร, ธุรกิจการเกษตร นอกจากนั้น นักลงทุนยังอาจโฟกัสการลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ ซึ่งจะได้ประโยชน์ หากสภาสหรัฐฯ ผลักดันการลดภาษีนิติบุคคลเป็นผลสำเร็จ แนะนำ “ซื้อ” IVL ราคาเป้าหมาย 47.5 บาท และ TU ราคาเป้าหมาย 24 บาท
กำลังโหลดความคิดเห็น