“บิ๊กบอสมิลล์คอน” ชี้ธุรกิจเหล็กเริ่มฟื้นตัวจากความต้องการในภาคอุตสาหกรรมที่มีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โว ปี 2560 รายได้จะเกิน 10% มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้
นายสิทธิชัย ลีสวัสดิ์ตระกูล ประธานกรรมการบริหาร บมจ. มิลล์คอน สตีล หรือ MILL กล่าวว่า บริษัทฯ ประเมินว่า รายได้ในปี 2561 มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากได้มีการเพิ่มกำลังการผลิตโรงงานผลิตเหล็กเกรดพิเศษเต็มปี หลังมีการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น ซึ่งมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 5 แสนตันต่อปี โดยที่ผ่านมา ได้มีการทดลองผลิตแล้วตั้งแต่ต้นปี 2560 คาดว่า โรงงานผลิตเหล็กเกรดพิเศษจะสามารถสร้างรายได้ราว 10,000 ล้านบาทต่อปี ทำให้บริษัทฯ จะรับรู้เข้ามาตามสัดส่วนการถือหุ้นไม่น้อยกว่า 50%
ในส่วนของการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นในประเทศพม่านั้น บริษัทฯ คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้จากโรงงานผลิตเหล็กในประเทศพม่าเข้ามาเต็มปี โดยได้มีการเริ่มการผลิตในช่วงไตรมาส 3/2560 ที่ผ่านมา ซึ่งมองว่า รายได้จากโรงงานดังกล่าวจะอยู่ที่เฉลี่ยปีละ 1,000 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีสัดส่วนการถือหุ้นที่ 45%
“ประเมินว่า แนวโน้มปี 2561 จะมีการเติบโตดีกว่าปีนี้หลังจากที่มีการรับรู้รายได้จากการลงทุน ทั้งการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่นที่ได้ผลิตเหล็กเกรดพิเศษตามออเดอร์ และการร่วมทุนกับพันธมิตรในประเทศพม่า ซึ่งจะรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปี นอกจากนี้ ในปีนี้ คาดว่ารายได้จะเติบโตมากกว่าเป้าหมายที่ว่างไว้ที่ 10% เพราะว่า ความต้องการของตลาดเหล็กเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าปัจจุบัน ราคาเหล็กอยู่ในระดับที่ทรงตัว ไม่ได้ผันผวนเหมือนในอดีตที่ผ่านมา รวมถึงบริษัทฯ ก็มีการมุ่งเน้นการผลิตเหล็กเกรดพิเศษ ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากราคาเหล็ก”
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังการผลิตเหล็กรวมอยู่ที่ 1.4 ล้านตันต่อปี และมีการใช้กำลังการผลิต (Utilization Rate) อยู่ที่ 70-80% ซึ่งสามารถเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นได้อีกตามจำนวนความต้องการของตลาด
นอกจากนี้ บริษัทได้ศึกษาความเป็นไปได้เพื่อจัดตั้งกองทุนเวนเจอร์แคปปิตอลทั้งในและต่างประเทศร่วมกับพันธมิตร ในการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่จะเข้ามาต่อยอดธุรกิจหลัก ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า โดยจะเน้นธุรกิจที่มีความทันสมัยด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมชั้นสูง
ขณะเดียวกัน ในส่วนของที่ดินซึ่งเป็นสินทรัพย์ของบริษัท ซึ่งไม่ได้ใช้งานจำนวนกว่า 300 ไร่ ที่ จ. ระยอง ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจาเพื่อขายที่ดินดังกล่าว โดยมีการประเมินราคาตลาดอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท ทำให้มีผู้สนใจเข้าร่วมเจรจาเข้าซื้อที่ดินหลายราย แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ในขณะนี้ว่าจะขายให้รายหนึ่งรายใดทั้งหมด หรือแบ่งขาย
“ผมขอยืนยันว่าจะไม่มีการขายหุ้นออกมา หลังจากได้ทำคำเสนอซื้อหุ้นต่อผู้ถือหุ้นทั่วไป (Tender Offer) จนมีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ 42% จากเดิม 19% เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในธุรกิจที่น่าจะมีการเติบโตที่ดีในอนาคต”