xs
xsm
sm
md
lg

ทุนจีน “ไฮดู กรุ๊ป” บุกอสังหาฯ ไทยจับมือ เบสท์ กรุ๊ป ผุด “ทรัส ซิตี้” มูลค่ากว่าแสนล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

สิทธิชัย เจริญขจรกุล
เบสท์ กรุ๊ป จับมือกลุ่มทุนจีน ไฮดู กรุ๊ป ผุดโครงการยักษ์ “ทรัส ซิตี้” เมืองการค้าและศูนย์การแสดงสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท พื้นที่ก่อสร้างกว่า 2.5 ล้าน ตร.ม. บนถนนบางนา-ตราด กม. 29 คาดหลังเปิดดำเนินงานเงินสะพัดปีละหลายแสนล้านบาท

นายสิทธิชัย เจริญขจรกุล ประธาน บริษัท ไฮดู เบสท์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัท เบสท์ กรุ๊ป จำกัด ได้ร่วมลงทุนของกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ฮั่งเส็ง ของฮ่องกง ไฮดู กรุ๊ป กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง จัดตั้งบริษัท ไฮดู เบสท์ กรุ๊ป ขึ้นด้วยทุนจดทะเบียน 2,196 ล้านบาท สัดส่วนการถือหุ้นเบส กรุ๊ป ถือ 60% ไฮดู 40% เพื่อพัฒนาโครงการเมืองการค้าและศูนย์แสดงสินค้าขนาดใหญ่ ภายใต้ชื่อ “ทรัส ซิตี้” World Exhibition & Trade Centre เมืองส่งเสริมการค้าและศูนย์แสดงสินค้าระดับโลกครบวงจรที่สุดแห่ง AEC+6 และจะกลายเป็น “ฟินเทคฮับ” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มูลค่าโครงการกว่า 1 แสนล้านบาท

สำหรับงบในการลงทุนประมาณ 80,000 ล้านบาท ซึ่งไฮดู เบสท์ กรุ๊ป จะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากดับบลิว เวนเจอร์ ผู้ดำเนินงานด้าน Fintech จากฮ่องกง และการระดมเงินผ่านกองทุนจากทั่วโลก

“ทรัสต์ ซิตี้ ถูกสร้างขึ้นด้วยแนวคิดที่ต้องการพัฒนาการค้าส่งแบบเดิม ๆ ที่กระจัดกระจาย เช่น โบ๊เบ๊, ประตูน้ำ, สำเพ็ง, พาหุรัด แม้แต่ย่านพระเครื่องอย่างแถวเสาชิงช้า มาอยู่ในที่เดียวกัน มีความสะดวกสบาย ครบวงจร และทันสมัยที่สุดในโลก ซึ่งเรายังมุ่งส่งเสริมกลุ่มธุรกิจคนรุ่นใหม่ หรือ Startup ในบ้านเราให้มีโอกาสทางการค้ากับผู้ซื้อจากทั่วโลก นอกจากนี้ ยังจะเป็นศูนย์กลางของ Fintech ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งนอกจากตลาดในประเทศแล้ว ยังจะเป็นแหล่งรวมสินค้าสำเร็จรูปและวัสดุที่เกี่ยวเนื่องจากทั่วโลก เพื่อดึงดูดให้เกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยนของผู้ซื้อจากทั่วโลกให้มาเลือกซื้อที่นี่ที่เดียว” นายสิทธิชัย กล่าว

โครงการ ทรัส ซิตี้ ตั้งอยู่บนที่ดินกว่า 500 ไร่ บนถนนเทพรัตน (บางนา-ตราด) กม. 29 มูลค่าโครงการกว่า 100,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 6 โซนธุรกิจ พื้นที่อาคารรวมกว่า 2,500,000 ตร.ม. รองรับ 20,000 ร้านค้า และผู้อยู่อาศัยกว่า 50,000 คน ประกอบด้วย 1. พื้นที่จัดแสดงสินค้าขนาดใหญ่ ระดับเวิลด์คลาส รองรับธุรกิจกว่า 100,000 ตร.ม. 2. ศูนย์แสดงสินค้าถาวรทุกหมวดหมู่กว่า 20,000 ผู้ผลิต และตัวแทนการค้า สูง 7 ชั้น ขนาดพื้นที่กว่า 800,000 ตร.ม.

3. โรงแรมและที่พักอาศัย เพื่อนักธุรกิจ นักท่องเที่ยว กว่า 12,000 ยูนิต พร้อมส่วนบริการและนันทนาการ 4. ศูนย์แสดงสินค้าถาวรขนาดเล็ก รองรับสินค้า-บริการ เครื่องจักรอุตสาหกรรม

5. Fintech Hub & Business Hotel Zone แลนด์มาร์กที่โดดเด่นของโครงการอาคารสุพรรณหงส์ บนความสูงอาคาร 168 เมตร ภายในแยกเป็นส่วนศูนย์ประชุมลอยฟ้า โรงแรมระดับ 5 ดาว โลกเทคโนโลยีการเงิน ตลาดค้าทองคำขนาดใหญ่ สำนักงานให้เช่าครบวงจร ศูนย์อาหาร การแสดงสินค้า และ

6. อาคารแสดงนวัตกรรมยานยนต์ อุปกรณ์ตกแต่ง และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะเปิดดำเนินงานได้ภายในปี 2563 และจะทำให้มีเงินสะพัดปีละหลายแสนล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 10 ปี

นายสิทธิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ไฮดู กรุ๊ป นอกจากจะเป็นกลุ่มทุนที่มีความรู้ความชำนาญทั้งการพัฒนาเขตเศรษฐกิจใหม่ มีความชำนาญด้านลอจิสติกส์ และด้านฟินเทค เป็นอย่างดีแล้ว ยังมีความแข็งแกร่งด้านเงินทุนอีกด้วย ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียน 2,196 ล้านบาท พร้อมกันนี้โครงการได้เตรียมเงินกองทุนจำนวนกว่า 80,000 ล้านบาท เพื่ออัดฉีดการลงทุนให้มีความต่อเนื่องแล้วเสร็จตามกำหนดการ โดยคาดว่า การก่อสร้างทั้งโครงการจะแล้วเสร็จในปลายปี 2563 โดยจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วน ๆ และจ้างผู้รับเหมาหลายรายในการก่อสร้างเพื่อให้งานก่อสร้างแล้วเสร็จทันกำหนด
โครงการ ทรัส ซิตี้
ด้านนายเรม่อน เจิ้ง รองประธานกรรมการบริหาร (ฝ่ายจีน) บริษัท ไฮดู เบสท์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า กลุ่มไฮดู กรุ๊ป เป็นผู้เชียวชาญด้านการพัฒนาโครงการเมืองการค้ารูปแบบครบวงจรในประเทศจีน โดยพัฒนามาแล้ว 20 โครงการใน 10 เมือง แต่ละโครงการล้วนมีที่ดินมากกว่า 1,000 ไร่ ซึ่งการลงทุนบนที่ดินขนาด 500 ไร่ ถือว่ามีขนาดเล็กสำหรับไฮดู โดยโครงการทรัส ซิตี้ ถือเป็นโครงการแรกที่กลุ่มไฮดู ออกไปลงทุนนอกประเทศจีน ซึ่งสาเหตุที่เลือกลงทุนในไทยเป็นประเทศแรก เนื่องจากมองว่า ไทยถือเป็นประเทศที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียน มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับจีน คนจีนอยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก รวมถึงนักท่องเที่ยวจีน ยังนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังเป็นการลงทุนตามนโยบายของรัฐบาลจีนที่ต้องการให้นักลงทุนจีนออกไปลงทุนยังต่างประเทศอีกด้วย

“การที่บริษัทเป็นผู้พัฒนาเมืองการค้ารายใหญ่ทำให้มีผู้ค้าอยู่ในมือจำนวนมาก ซึ่งผู้ค้าเหล่านี้ต้องการที่จะขยายตลาดไปยังต่างประเทศ แต่ไม่สามารถดำเนินการเองได้ บริษัทจึงเป็นผู้เพิ่มช่องการการขยายตลาดไปยังต่างประเทศของผู้ค้าชาวจีน นอกจากนี้ ยังเป็นช่องทางการตลาดให้กับผู้ค้าจากทั่วโลกให้มาขายและแสดงสินค้าในไทยอีกด้วย” นายเรม่อน กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น