“บางกอกชีทเม็ททัล” เผยยอด Backlog 200 ลบ. รับรู้ทั้งหมดในปีนี้ เร่งเดินหน้าเข้ารับงานกลุ่มรับเหมา ด้านออเดอร์สินค้า B2B โต หลังได้งานชิ้นส่วนรถตัดอ้อย จ่อตั้งบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นบุกเมียนมา หนุนรายได้ปี 61 โตกระโดด
นายธานิน สัจจะบริบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกชีทเม็ททัล จำกัด (มหาชน) หรือ BM เปิดเผยว่า ในปัจจุบัน บริษัทฯ มีงานในมือที่รอส่งมอบ และรอรับรู้รายได้ หรือ Backlog อยู่ที่ 200 ล้านบาท ทั้งงานในกลุ่มของผู้รับเหมา หรือ Contractor และงานในกลุ่มของการจำหน่ายสินค้าให้ผู้ประกอบการ หรือ B2B โดยจะสามารถรับรู้รายได้ทั้งหมดได้ภายในปีนี้ ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ทิศทางผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีทิศทางที่เติบโตขึ้น
หลังจากบริษัทฯ ได้เข้าเสนอราคาเพื่อรับงานในกลุ่มผู้รับเหมาอีกหลายโครงการ มูลค่าหลายร้อยล้านบาท ซึ่งจะทยอยทราบผลการได้งานตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป สำหรับงานในกลุ่มของการจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการ หรือ B2B ก็ได้รับคำสั่งผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรกลการเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังบริษัทฯ ได้รับออเดอร์ใหม่สำหรับผลิตชิ้นส่วนรถตัดอ้อยอีกราว 70-100 คันต่อวัน รวมถึงบริษัทฯ ได้รับคำสั่งผลิตชิ้นส่วนรถเกี่ยวนวดข้าวเพิ่มขึ้นเป็น 120 คันต่อวัน จากปีก่อนที่มีการผลิตเพียง 80 คันต่อวัน ทำให้บริษัทฯ คาดว่า ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้งานในกลุ่มของ B2B จะมีการเติบโตอย่างชัดเจน และจะมีสัดส่วนรายได้ในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ คงเป้ารายได้เติบโตอยู่ที่ระดับ 10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 850.86 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทฯ เตรียมที่จะเดินเครื่องกำลังการผลิตของโรงงานแห่งใหม่ ซึ่งเป็นแห่งที่ 2 โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงปลายปี 2560 ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นได้อีกกว่า 30% ขณะที่แผนการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่นในการเข้าไปลงทุนก่อสร้างโรงงานในประเทศเมียนมา คาดว่าจะสามารถได้ข้อสรุปภายในปีนี้ และจะสามารถเริ่มก่อสร้าง และเริ่มดำเนินการได้ภายในปี 2561 ซึ่งจะเป็นตัวช่วยที่สำคัญในการหนุนรายได้ของปี 2561 ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด
“ในปีนี้เรายังคงเป้าหมายรายได้เติบโตประมาณ 10% โดยการเพิ่มยอดจำหน่ายสินค้าตู้โลหะ ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ มากขึ้น และเพิ่มสัดส่วนรายได้กลุ่ม B2B ให้เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงบริหารจัดการต้นทุน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพ ด้านโครงการการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ โดยใช้แหล่งเงินทุนจาก IPO ในปี 2559 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มดำเนินการผลิตภายได้ในปี 2560 ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตให้สูงขึ้น” นายธานิน กล่าว
ทั้งนี้ ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 16.07 ล้านบาท และมีรายได้รวม 405.78 ล้านบาท