xs
xsm
sm
md
lg

บล. เคทีบี ชี้ปัจจัยต่างประเทศยังกดดันตลาดหุ้นไทย คาด SET แกว่งกรอบ 1,566-1,586 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


หลักทรัพย์ เคทีบี ประเมิน SET Index สัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวกรอบแคบ จากปัจจัยกดดันในเรื่องเงินบาทที่ยังคงแข็งค่า และการเทขาย เพื่อย้ายเข้าลงทุนตลาดพันธบัตร ประเมินกรอบดัชนีสัปดาห์นี้คาดแกว่งตัวในกรอบ 1,566-1,586 จุด แนะเข้าลงทุนแบบลงซื้อ-ขึ้นขาย เน้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์, สื่อสาร, ขนส่ง

นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST ประเมินแนวโน้มหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (7-11 ส.ค.) ว่า SET Index สัปดาห์นี้ยังขาดปัจจัยหนุน และเม็ดเงินใหม่ ๆ ขณะที่ปัจจัยภายนอกที่ยังทำให้ตลาดคลุมเครือ ได้แก่ แนวโน้มการปรับลด QE และทิศทางการเมืองสหรัฐฯ แต่อาจได้ตัวช่วยหากตัวเลขส่งออกของจีน-ยุโรป ที่จะรายงานในสัปดาห์นี้ออกมาดี จะกลับมาเป็นแรงหนุนต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ส่วนปัจจัยภายในจะเป็นเรื่องของการรายงานผลประกอบการที่เข้าสู่ช่วงสองสัปดาห์สุดท้าย และเริ่มมีการทยอยขึ้น “XD” รวมถึงการติดตามสถานการณ์น้ำท่วม ซึ่งความเสียหายล่าสุด อยู่ที่ 1-3 พันล้านบาท (ประเมินโดย ม.หอการค้าฯ) และมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐฯ ทั้งช่วยเหลือน้ำท่วม ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย (4 หมื่นล้านบาท) และโครงการลงทุนต่าง ๆ

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า นักลงทุนย้ายเงินลงทุนออกจากตลาดหุ้น และเข้าลงทุนในตลาดพันธบัตร เนื่องด้วยปัจจัยต่าง ๆ อาทิ ค่าดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า, ดอกเบี้ยต่ำและตลาดมีความเสี่ยง ซึ่งเป็นสัญญาณว่า นักลงทุนไม่ได้มีความกังวลต่อการปรับนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่าง ๆ ในเวลานี้แต่อย่างใด โดยที่ตลาดหุ้นในเอเชียที่ถูกขายออกมามาก คือ ไทย อินเดีย และเกาหลีใต้ หากแนวโน้มนักลงทุนยังมีการขายหุ้นและซื้อพันธบัตรต่อเนื่องมาถึงสัปดาห์นี้ จะเป็นผลลบต่อตลาดหุ้นไทย และดันค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้นต่อได้

ดังนั้น กลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ด้วยกรอบการเคลื่อนไหวที่จะแคบลง (หากไม่มีปัจจัยใหม่ ๆ) การลงทุนจึงควรเป็นแบบลงซื้อ-ขึ้นขาย และเปลี่ยนตัวเล่นในแต่ละวัน โดยหุ้นที่เราให้ความสนใจในสัปดาห์นี้จะเป็นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวมากกว่า หรือหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมามาก (ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเล็ก) ขณะที่การสลับเข้าลงทุนเป็นรายกลุ่ม (Sector) นั้น คาดว่าจะสลับระหว่างกลุ่ม สินค้าโภคภัณฑ์, สื่อสาร, ขนส่ง, ไฟฟ้า คาดดัชนีฯ ในสัปดาห์นี้ยังเล่นในกรอบ 1,566-1,586 จุด สำหรับการลงทุนแนะให้พิจารณาเข้าลงทุนเป็นรายตัว ที่ถูกคาดว่าผลประกอบการจะออกมาดี อาทิ TFG, SIRI, MEGA, ARROW, JMT, JMART, FSMART, MAJOR และ GFPT

สำหรับปัจจัยสำคัญในประเทศที่ควรติดตาม คือ เงินบาทที่แข็งค่ายังกดดันตลาด ล่าสุด 33.2 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากปลายไตรมาส 2 อยู่ 1.9% และจากต้นปี 7.0% หากเงินไหลเข้าตลาดพันธบัตรไทยต่อ จะทำให้เงินบาทแข็งค่ามากขึ้น จึงยังมีแนวโน้มเป็นลบต่อผู้มีรายได้เป็นดอลลาร์สหรัฐ (อีเล็กทรอนิกส์) แต่เป็นผลดีต่อผู้กู้ดอลลาร์สหรัฐ (ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี หรือบริษัทที่ทำ hedging ไว้)

ส่วนอีกปัจจัย คือ เรื่องผลกำไรไตรมาส 2 ของตลาดที่รายงานมาแล้ว 58 บริษัทกำไร -6% เทียบช่วงเดียวกันกับของปีก่อนหน้า และ 13% เทียบกับช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งสอดคล้องกับการสำรวจโดย Bloomberg ที่ประเมินจากกว่า 120 บริษัท ว่าจะ -8% เทียบช่วงเดียวกันกับของปีก่อนหน้า และ -12% เทียบกับช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อนหน้า การลดลงของกำไรตลาดทำให้ตลาดหุ้นไทยขาดความคึกคักไปบ้าง แต่ downside risk ถือว่าไม่สูง ด้วยค่า P/E ที่ current P/E และ Forward P/E ที่ใกล้เคียงกันที่ 16 เท่า
กำลังโหลดความคิดเห็น