สมาคมไทยรับสร้างบ้าน เผยตลาดบ้านสร้างเองครึ่งปีแรกชะลอตัว เหตุผู้บริโภคกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อลด พบผู้บริโภคกว่า 70% ต้องการสร้างบ้านราคา 1.2-2 ล้านบาท ลดลงจากปี 59 ที่ต้องการสร้างบ้าน 2-3 ล้านบาท คาดตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 3 ปรับตัวดีขึ้น
สมาคมไทยรับสร้างบ้าน (Thai Home Builders Association : THBA) เปิดเผยว่า บ้านเดี่ยวสร้างเองทั่วประเทศในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา (เม.ย.-มิ.ย. 60) พบว่า ความต้องการของผู้บริโภคและประชาชนขยายตัวลดลง และส่งผลทำให้ปริมาณและมูลค่าตลาด “รับสร้างบ้าน” ในช่วง 6 เดือนแรก ปี 2560 (ม.ค.-มิ.ย. 60) ชะลอตัวตามเมื่อเปรียบเทียบกับครึ่งแรกปี 2559 จากมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศ ประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งประเมินว่าเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก ๆ คือ 1. ผู้บริโภคยังกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ 2. การใช้จ่ายเรื่องบ้านหรือที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคปรับตัวลดลง และ 3. ช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. เป็นช่วงโลว์ซีซันของธุรกิจรับสร้างบ้าน
จากการรวบรวมข้อมูลของผู้บริโภคที่ติดต่อใช้บริการสร้างบ้านหลังใหม่กับกลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านทั้งนอกและในสมาคมฯ ส่วนใหญ่มีความลังเล และใช้ระยะเวลาตัดสินใจนานขึ้น (6 เดือนขึ้นไป) เพราะยังไม่มั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ประการถัดมาพบว่า กลุ่มผู้บริโภคให้ความสนใจจะปลูกสร้างบ้านในปีนี้ กลุ่มใหญ่ที่สุด หรือร้อยละ 70 ตั้งงบประมาณค่าก่อสร้างบ้านไว้เฉลี่ยหน่วยละ 1.2-2 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าต่อหน่วยลดลงจากปีที่แล้วที่เฉลี่ยต่อหน่วย 2 ล้านบาทขึ้นไป-3 ล้านบาทเศษ สะท้อนให้เห็นว่า ความสามารถของผู้บริโภคในการใช้จ่ายเรื่องสร้างบ้าน หรือที่อยู่อาศัยลดลง กอปรกับในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมของทุกปีถือเป็นช่วงที่ผู้บริโภคให้ความสนใจเรื่องสร้างบ้านน้อยกว่าช่วงเดือนอื่น ๆ เพราะเป็นช่วงที่มีเทศกาลสำคัญ และมีวันหยุดยาวต่อเนื่อง รวมถึงเป็นช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ของบุตรหลาน ความสนใจ และต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ จึงชะลอตัวในช่วงนี้
สำหรับภาพรวมการแข่งขันตลาดรับสร้างบ้านในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา พบว่า กลุ่มผู้ประกอบการชั้นนำมีการใช้อีเวนต์มาร์เกตติง ควบคู่กับการสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์ เพื่อจะเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายเล็ก ๆ หรือรายที่เข้ามาใหม่ในตลาดสร้างบ้าน สื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียเป็นสื่อที่ผู้ประกอบการเลือกใช้มากที่สุด ขณะเดียวกัน สื่อสิ่งพิมพ์ได้รับความสำคัญลดลง
นอกจากนี้ ยังพบว่า การแข่งขันตัดราคาในกลุ่มรายเล็กรายย่อยยังคงแข่งขันกันรุนแรง โดยเฉพาะตลาดรับสร้างบ้านในต่างจังหวัด ขณะที่กลุ่มผู้นำตลาด ปรับลดโทนการแข่งขันราคาลง หากเปรียบเทียบกับในช่วงระยะ 6 เดือนก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันราคาของผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ ดูจะเป็นเรื่องน่ากังวลพอสมควร หากว่าไม่ได้คำนวณต้นทุนตามหลักการแล้ว ตั้งราคาผิดพลาด หรือต่ำเกินจริง สุดท้ายจะไม่สามารถสร้างบ้านได้คุณภาพ หรือสร้างไม่เสร็จจริง ปัญหาการทิ้งงาน และความขัดแย้งกับผู้บริโภคก็จะเกิดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือในภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านตามมา
สำหรับไตรมาส 3 ปีนี้ สมาคมฯ ประเมินว่า ความเชื่อมั่นและการกล้าใช้จ่ายเรื่องบ้านและที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคมีแนวโน้มปรับตัวเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยวิเคราะห์จากสถานการณ์ในช่วงท้ายไตรมาส 2 (เดือน มิ.ย.) ที่ความสนใจ และความต้องการสร้างบ้านใหม่ของผู้บริโภคเริ่มปรับตัวดีขึ้นกว่าในช่วง 2 เดือนแรก (เม.ย.-พ.ค.) และเชื่อว่าจะยังมีความต้องการต่อเนื่อง นอกจากนี้ บรรดาผู้ประกอบการที่แข่งขันอยู่ในตลาดรับสร้างบ้าน คงมีการจัดกิจกรรมทางการตลาดกันคึกคัก เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปัจจุบันต้องยอมรับว่า ผู้บริโภคมีอำนาจการต่อรองสูง ดังนั้น คาดว่าการแข่งราคาของกลุ่มผู้นำตลาด จะกลับรุนแรงอีกครั้งในช่วงการแข่งขันไตรมาส 3 นี้ โดยเฉพาะตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่มีผู้ประกอบการรับสร้างบ้านรายหลัก ๆ แข่งขันกันอยู่มากที่สุด
ต่อกรณีพระราชกำหนดแรงงานต่างด้าวฉบับใหม่ ที่ประกาศ และบังคับใช้ แต่ถัดมาเพียงไม่กี่วัน รัฐบาลต้องอาศัย ม.44 ประกาศชะลอให้มีผลบังคับใช้ออกไปก่อน เนื่องจากผู้ประกอบการเรียกร้องและกังวลว่าจะเกิดการขาดแคลนแรงงาน อาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ
นายสิทธิพร สุวรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับรัฐบาลที่จะบังคับผู้ประกอบการ และแรงงานต่างด้าว ปฏิบัติให้ถูกต้อง แต่ก็ไม่เชื่อว่า การกำหนดบทลงโทษสูง ๆ จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ เพราะปัญหาจริง ๆ คือ การไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังของเจ้าหน้าที่รัฐผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และความไม่รับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการแย่ ๆ ซึ่งพิจารณาได้จากเมื่อพระราชกำหนดฯ ถูกประกาศออกมาบังคับใช้ เราก็เห็นแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมาย แห่เดินทางกลับบ้านกันจำนวนมาก ประเด็น คือ กฎหมายและกฎระเบียบมีอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมา เลี่ยงที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องกันเอง ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ประกอบการ และแรงงานต่างด้าว ที่เข้ามาทำงาน ฉะนั้น การเพิ่มโทษสูงขึ้นจึงไม่น่าใช่ทางออกและแก้ปัญหาได้ทั้งหมด แต่กลับจะกลายแรงจูงใจให้เกิดการคอรัปชันหรือเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่รัฐที่ประพฤติมิชอบมากยิ่งขึ้น นี่คือ ปัญหาของประเทศไทย
สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้านกับการใช้แรงงานต่างด้าวนั้น จากประสบการณ์ และการสอบถามข้อมูลกับสมาชิก ได้รับการยืนยันว่า มีจำนวนน้อยมาก ยกเว้นบางพื้นที่ที่หาแรงงานไทยทำงานก่อสร้างยากมาก เช่น สมุย ภูเก็ต ฯลฯ เพราะลักษณะงานสร้างบ้านมีการเคลื่อนย้ายสถานที่ทำงานบ่อย และไซต์งานแต่ละแห่งใช้แรงงานจำนวนไม่กี่คน ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านจึงไม่นิยมใช้แรงงานต่างด้าว เนื่องจาก 1. ควบคุมยากและมีความเสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมาย 2. ขั้นตอนขออนุญาตเคลื่อนย้ายแรงงานเสียเวลาและยุ่งยาก ทั้งนี้ ไซต์งานก่อสร้างก็ไม่มีรั้วรอบขอบชิดเหมือนเช่นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ และไม่ได้ปักหลักทำงานอยู่นาน ๆ
“มองว่า การที่มีเสียงจากฟากผู้ประกอบการออกมาท้วงติง หรือไม่เห็นด้วยกับพระราชกำหนดฯ ดังกล่าว ส่วนหนึ่งอาจมีการกระทำที่ไม่ถูกต้องอยู่ หรือเพียงแค่เกาะกระแสมากกว่า ไม่ใช่เหตุและปัจจัยที่เป็นผลกระทบหลัก สำหรับประเด็นที่อยากฝากถึงรัฐบาลคือ การอำนวยความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายในเรื่องการขออนุญาตต่าง ๆ เพื่อผู้ประกอบการก่อสร้าง และแรงงานต่างด้าวจะได้เต็มใจปฏิบัติตามกฎหมาย และทำอย่างไรให้เจ้าหน้าที่รัฐมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง สำหรับผู้ประกอบการเองก็ต้องปรับตัว หันมาใช้เทคโนโลยีก่อสร้าง เพื่อทดแทนแรงงานมากขึ้น ที่สำคัญ ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม” นายสิทธิพร กล่าว