สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเดือนกรกฏาคม คาดปรับตัวลงเล็กน้อย อยู่ที่ 1.62% คาดอีก 3 เดือนข้างหน้า มีแนวโน้มทรงตัว เหตุเริ่มส่งสัญญาณนโยบายโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล และภาวะการณ์ฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มดีขึ้น
นายสันติ กีระนันทน์ ผู้แทนสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนประจำเดือน กรกฎาคม 2560 โดยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเล็กน้อย 1.62% อยู่ในเกณฑ์ทรงตัวเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน ที่ระดับ 100.01 จากระดับ 101.66 ในเดือนก่อนหน้า ปัจจัยสนับสนุนยังคงเป็นปัจจัยในประเทศ ทั้งนโยบายลงทุนภาครัฐ และการเริ่มลงทุนในโครงการพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจ หรือ EEC อีกทั้งภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวตามคาดการณ์ที่ระดับ 3-3.5% ขณะที่นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยเฉพาะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ที่มีการประกาศช่วงกลางเดือน มิ.ย. และลดขนาดงบดุล รวมถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ผลกระทบจากการเลือกตั้งในกลุ่มประเทศยุโรป ยังเป็นปัจจัยฉุดที่สำคัญ สำหรับหมวดธุรกิจน่าสนใจ ได้แก่ บริการรับเหมาก่อสร้าง ส่วนหมวดแฟชั่นยังไม่น่าสนใจ
ทั้งนี้ กล่าวว่าตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา มีการเคลื่อนไหวไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ภาวะเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนครึ่งปีแรก 2560 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.55% จากการที่ปรับขึ้นสูงในปีก่อน และพฤติกรรมลงทุนแบบแสวงหาผลตอบแทน แนะนำผู้ลงทุนติดตามเสถียรภาพการเติบโตเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะสหรัฐฯ และการปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจจีน ขณะที่เม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าประเทศไทย พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในตลาดตราสารหนี้สูงกว่าตลาดหุ้นเกือบ 20 เท่า ส่วนมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ไทยสูงสุดในกลุ่มอาเซียน ที่ระดับ 1,239 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวัน
“เม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าประเทศไทย พบว่าส่วนใหญ่อยู่ในตลาดตราสารหนี้สูงกว่าตลาดหุ้นเกือบ 20 เท่า มองว่ามาจากการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง ประกอบกับต้นทุนในการแลกเปลี่ยนเงินอยู่ในระดับต่ำ และอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่ยังทรงตัว”
สำหรับดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยเดือน ก.ค. 2560 คาดว่าในการประชุม กนง. รอบเดือน ก.ค. นี้ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ตามเดิม จากแนวโน้มการขยายตัวเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับต่ำตามคาด และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำภายใต้กรอบนโยบาย รวมถึงคาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ช่วงเดือน ธ.ค. ประมาณ 0.25% ขณะที่ดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปี และ 10 ปี ในช่วงประชุม กนง. รอบเดือน ส.ค. อยู่ที่ 84 และ 83 ตามลำดับ ใกล้เคียงครั้งที่แล้ว สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุนน้อยลง แต่ยังคงมองว่า แนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั้ง 2 รุ่นอายุมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น จากอุปทานที่จะเพิ่มขึ้น และทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบต่อฟันด์โฟลว์ และค่าเงินบาท
ขณะที่ในส่วนครึ่งปีหลัง มองปัจจัยขับเคลื่อนตลาดเรื่องฟันด์โฟลว์ และการเติบโตสินเชื่อกลุ่มธนาคารอาจไม่ค่อยสดใส อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินจากการลงทุนภาครัฐ และ EEC จะเป็นปัจจัยหนุนระยะยาว โดยคาดว่าจะเห็นเม็ดเงินเข้าสู่ระบบชัดเจนในปีหน้า