ศึกโบรกเกอร์ ”กิมเอง-หยวนต้า”/สุนันท์ ศรีจันทรา

ธุรกิจการค้าหลักทรัพย์มีการแข่งขันกันดุเดือดเลือดพล่านมาหลายสิบปีแล้ว ยุทธศาสตร์การแข่งขันที่มักใช้กันคือการซื้อตัวเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดหรือมาร์เก็ตติ้ง
ล่าสุดบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดสงครามการแข่งขัน ทุ่มเงินซื้อมาร์เก็ตติ้งแทบจะ ”ยกเล้า” จากบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จนเกิดการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกันกว่าครึ่งพันล้านบาท

การ “ฉก”มาร์เก็ตติ้ง” จากเมย์แบงก์ กิมเอง กำลังเป็นข่าวลือลั่นสนั่นเมือง สร้างความสั่นสะเทือนวงการโบรกเกอร์ เพราะเป็นการซื้อตัวมาร์เก็ตติ้งครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ โจ๋งครึ่มมากที่สุด และท้าทายหน่วยงานที่กำกับดูแลโบรกเกอร์มากที่สุด

จำนวนมาร์เก็ตติ้งที่ บล.หยวนต้า “ยกเค้า” ไปมีจำนวนประมาณ 200 คน โดยมีนักลงทุนที่เป็นลูกค้าของมาร์เก็ตติ้งเหล่านี้ ตามไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับบล.หยวนต้าแล้วประมาณ 300 ราย
บล.เมย์แบงก์ กิมเอง โบรกเกอร์ที่ครองส่วนแบ่งมูลค่าซื้อขายสูงสุดหลายปีติดต่อ ไม่ยอมตกเป็นฝ่ายถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว โดยยื่นฟ้องทางแพ่ง เรียกค่าเสียหายจากอดีตผู้บริหาร 2 ราย ซึ่งเป็นหัวหอกในการยกคนย้ายค่ายไปซบ”หยวนต้า” ในความผิดฐานละเมิด เรียกค่าเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้น 578 ล้านบาท
และฟ้องอดีตพนักงานอีก 3 คน ฐานฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามสัญญาจ้างงาน
นอกจากนั้นยังร้องเรียนพฤติกรรมของบล.หยวนต้าและอดีตพนักงานต่อหลายหน่วยงานที่กำกับดูแล

การใช้เงินหรือผลประโยชน์ฟาดหัว เพื่อซื้อตัวมาร์เก็ตติ้ง ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่เกิดขึ้นมายาวนาน เพียงแต่ไม่มีการฟ้องร้องอะไรกันเท่าไหร่ เพราะหลายโบรกเกอร์ซื้อตัวกีนมาร์เก็ตติ้งเหมือนกัน อยู่ที่ว่า ใครสายป่านยาว ใครใจกล้าหน้าด้านกว่ากันเท่านั้น
ไม่เคยมีหน่วยงานใดแก้ปัญหาการซื้อตัวมาร์เก็ตติ้งได้ ไม่ว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือสมาคมโบรกเกอร์
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ เคยพยายามที่จะเข้ามาแก้ปัญหาการซื้อตัวมาร์เก็ตติ้ง โดยห้ามมาร์เก็ตติ้งที่ถูกซื้อตัวย้ายจากโบรกเกอร์เดิม แต่ถูกร้องศาลปกครอง เพราะการห้ามย้ายโบรกเกอร์ เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพการทำงาน
นับตั้งแต่มาร์เก็ตติ้งชนะคดีนายกิตติรัตน์ และดูเหมือนว่า นายกิตติรัตน์ถูกศาลสั่งชดใช้ความเสียหายให้มาร์เก็ตติ้งด้วย ไม่เคยมีหน่วยงานใดแทรกแซงการซื้อตัวมาร์เก็ตติ้งอีก รวมทั้งกรณีบล.หยวนต้าซื้อมาร์เก็ตติ้งบล.เมย์แบงก์ กิมเอง

วิชาชีพในธุรกิจค้าหุ้น ไม่อาจเรียกหาความภักดีต่อองค์กร เพราะเป้าหมายของคนวิชาชีพนี้ ส่วนใหญ่มุ่งไขว่คว้าความมั่งคั่ง ที่ไหนมีผลตอบแทนหรือผลประโยชน์มากกว่า ทุกคนจะแห่ไปตรงนั้น
เมื่อ”หยวนต้า” ยื่นข้อเสนอที่ดีกว่า ทีมมาร์เก็ตติ้งจึง “ตีจาก”บล.เมย์แบงก์ กิมเอง โดยไม่เหลือเยื่อใยใดๆ ทั้งที่บางคนทำงานกับเมย์แบงก์ กิมเองมาเกือบครึ่งชีวิต
บล.หยวนต้า โบรกเกอร์ใหญ่จากไต้หวัน เคยจุดชนวนสงครามการแข่งอันหฤโหดร์มาแล้ว เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน โดยประกาศอัตราค่านายหน้าศูนย์เปอร์เซ็นต์ หรือฟรีค่านายหน้าซื้อขายหุ้น ช่วงเปิดเสรีค่านายหน้า เพื่อดึงลูกค้า ทำให้โบรกเกอร์ขนาดเล็กหรือสายป่านสั้น แทบล้มตายไปจากระบบ
วันนี้ “หยวนต้า”กลับมาใหม่ หลังจากซื้อใบอนุญาตมาจากบริษัทหลักทรัพย์ เคเคเทรด เมื่อปลายปี2559 และเริ่มเปิดสงครามครั้งใหม่ โดยการใช้ผลประโยชน์ กวาดต้านมาร์เก็ตติ้งจากบล.เมย์แบงก์ กิมเอง และคงไม่หยุดสงครามการแข่งขันไว้เพียงเท่านี้

การทุ่มเงินซื้อมาร์เก็ตติ้งจะดำเนินต่อไป แล้วแต่ว่า ครั้งต่อไป โบรกเกอร์รายไหนจะถูก”ยกเค้า” ทีมมาร์เก็ตติ้งอีก
ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ และสมาคมโบรกเกอร์ จะยอมรับการซื้อตัวมาร์เก็ตติ้งหรือไม่ ถ้าไม่ยอมรับ ถ้ายอมไม่ได้ที่จะถูกสังคมตราหน้าว่า คนในวิชาชีพค้าหุ้นเห็นแก่เงิน คนในวิชาชีพค้าหุ้นไม่มีศักดิ์ศรี จะต้องแก้ไขปัญหาการซื้อตัวมาร์เก็ตติ้งอย่างจริงจังเสียที
ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์มีอำนาจในการกำหนดกฎกติกา ออกกฎระเบียบควบคุมการปฏิบัติงานของมาร์เก็ตติ้งได้อยู่แล้ว ใครฝ่าฝืนแหกกฎ ต้องลงโทษเด็ดขาด
ส่วนสมาคมโบรกเกอร์ น่าจะพร้อมยอมรับกฎเกณฑ์ควบคุมการซื้อตัวมาร์เก็ตติ้ง เพราะเชื่อว่าสมาชิกสมาคมส่วนใหญ่ต้องการอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุข
โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ไม่ต้องการการแข่งขันอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีกติกา ไร้ขอบเขต ไม่ต้องการเห็นคนในธุรกิจหลักทรัพย์หมกมุ่นในผลประโยชน์ จนไม่ตระหนักในศักดิ์ศรี และไม่หลงเหลือสำนึกในความภักดีต่อองค์กร สงครามของโบรกเกอร์ครั้งใหม่อุบัติขึ้นแล้ว โดย”หยวนต้า”เป็นตัวก่อชนวน คนในธุรกิจค้าหุ้นอยากจะดับไฟสงครามกันหรือไม่ หรือจะปล่อยให้รบกันจนแหลกลาญไปข้างหนึ่ง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นระหว่างปี 2543-2544
ถ้าจะปล่อยให้รบกันจนแหลกไปข้างหนึ่ง ก.ล.ต.เตรียมเก็บศพโบรกเกอร์ได้