เจดับเบิ้ลยูดี เร่งดันรายได้จากธุรกิจให้บริการขนย้ายเติบโต รับเทรนด์ผู้บริโภคพร้อมจ้างมืออาชีพเข้ามาดำเนินการแทนเพื่อความสะดวกสบาย เดินเกมขยายฐานลูกค้าจากกลุ่ม B2B สู่ B2C เพิ่มขึ้น หลังเพิ่มบริการให้เช่า “ห้องเก็บของส่วนตัว” (Self-Storage) และ “รับฝากสินค้ารายกล่อง” (Box-Storage) เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการพื้นที่เก็บของหรือผู้อยู่อาศัยคอนโดฯ ที่มีพื้นที่เก็บของไม่เพียงพอ เตรียมลงทุนเพิ่มพื้นที่ให้บริการในเมืองอีก 3-5 แห่งภายใน 2-3 ปีข้างหน้า พร้อมพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้บริการลูกค้า
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้นำธุรกิจให้บริการลอจิสติกส์ภาคพื้นดินอย่างครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ มองเห็นโอกาสเติบโตของธุรกิจให้บริการขนย้ายที่ดำเนินการ โดยบริษัท เจวีเค อินเตอร์เนชั่นแนล มูฟเวอรส์ จำกัด ในเครือของ JWD เนื่องจากเทรนด์ของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเลือกใช้บริการบริษัทรับขนย้ายสิ่งของที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาดำเนินการ เพื่อความสะดวกสบาย ดังนั้น JWD จึงขยายบริการขนย้ายเพิ่มเติมเพื่อช่วยผลักดันยอดขายของกลุ่ม JWD ในปีนี้ให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 7% โดยในปีที่ผ่านมา บริษัท JVK มียอดขายรวม 256 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 11.5% ของรายได้รวมทั้งกลุ่ม
ทั้งนี้ JWD ถือเป็นผู้ประกอบการรายแรก ๆ ที่ดำเนินธุรกิจให้บริการขนย้ายสิ่งของในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2522 โดยเริ่มต้นจากการรับขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ให้แก่บุคลากรในสถานทูตที่เข้ามาประจำในประเทศไทย และต้องเดินทางกลับประเทศ และได้ขยายไปสู่การให้บริการขนย้ายอย่างครบวงจรทั้งใน และต่างประเทศ ได้แก่ 1. การให้บริการขนย้ายเครื่องเรือน และของใช้ในบ้านเรือน ซึ่งบริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจาก บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮาส์ เป็นผู้ให้บริการขนย้ายเครื่องเรือน และของใช้ในบ้านเรือนของลูกค้าที่ซื้อบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมในโครงการของ แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2. บริการขนย้ายอุปกรณ์สำนักงาน 3. บริการรับบรรจุหีบห่อ ทำลังไม้ และขนย้ายเครื่องจักรหนัก ที่ต้องใช้ผู้ชำนาญการ และอุปกรณ์รถยก เครื่องมือแบบพิเศษ เช่น กระเช้าสำหรับของที่ต้องเจาะผนังอาคารเพื่อนำขึ้นลงจากอาคารสูง และ 4. บริการขนย้ายเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์การแพทย์ สิ่งของนวัตกรรมต่าง ๆ ที่นำมาจัดแสดงในงานแสดงสินค้า รวมถึงการบรรจุหีบห่อ ขนย้ายศิลปวัตถุ และโบราณวัตถุที่ประเมินค่าไม่ได้ ซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ และวิธีการเฉพาะในการขนย้าย
โดยมีฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นองค์กรธุรกิจ หรือหน่วยงานราชการ เช่น งานเมทัลเล็กซ์ งานย้ายศูนย์ราชการ งานย้ายวัตถุโบราณของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เป็นต้น โดยปัจจุบันมี 4 สาขาในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา และเวียดนาม) และมีสำนักงานขาย 32 แห่งในต่างประเทศที่ครอบคลุมทุกทวีป
สำหรับแนวทางการเติบโตของธุรกิจให้บริการขนย้ายในปีนี้ จะมาจากการให้บริการขนย้ายเครื่องจักรทั้งใน และต่างประเทศ ที่น่าจะขยายตัวได้ดี หลังจากผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ยังคงขยายฐานการผลิตทั้งใน และต่างประเทศ โดยเฉพาะการขยายฐานการผลิตในกลุ่มประเทศ CLMV เช่น ภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมอาหาร ส่วนการให้บริการขนย้ายงานแสดงสินค้า และงานศิลปะ ก็คาดว่าจะมีการเติบโตที่ดีเช่นกัน เนื่องจากมีตารางการจัดงานที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี และไบเทค บางนา เต็มตลอดทั้งปี ประกอบกับจำนวนผู้เข้าร่วมจัดงานแสดงสินค้าที่เพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่องานให้บริการขนย้าย
“จุดเด่นที่แตกต่างของบริษัทฯ คือ สามารถส่งมอบบริการที่มีมาตฐานสูง โดยอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ เช่น การใช้ระบบบาร์โค้ด เพื่อตรวจเช็กรายการสินค้า การติดป้ายสัญลักษณ์เพื่อแบ่งแยกสิ่งของในแต่ละแผนกของออฟฟิศได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ บริษัทฯ ผ่านการรับรองมาตฐานคุณภาพ ISO และเป็นสมาชิกองค์กร FIDI หรือสมาคมผู้ให้บริการขนย้ายระหว่างประเทศ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราเน้นเรื่องคุณภาพการบริการที่ใส่ใจ แม่นยำ และตรงต่อเวลา จึงมักจะได้งานจากการแนะนำ และบอกต่อของลูกค้าที่เคยใช้บริการ และประทับใจในการให้บริการของเรา” นายชวนินทร์ กล่าว
ล่าสุด บริษัทฯ ได้วางแผนเพิ่มรายได้โดยเตรียมลงทุนขยายพื้นที่ห้องเก็บของให้เช่า (Self-Storage) และบริการรับฝากสินค้ารายกล่อง (Box-Storage) ในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในอีก 3-5 แห่ง ภายในระยะเวลา 2-3 ปีนับจากนี้ เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีจำนวน 1 แห่ง ตั้งอยู่บนถนนกรุเทพกรีฑา จำนวน 80 ห้อง เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้ารายย่อยที่พักอาศัยในคอนโดมิเนียม หรือเช่าอพาร์ตเมนต์ที่ไม่มีพื้นที่จัดเก็บสิ่งของเพียงพอ หรือเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ อาทิ ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บสต๊อกสินค้า นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อให้ลูกค้าติดต่อขอใช้บริการ ชำระเงิน การขอรับสินค้า ซึ่งมั่นใจว่าด้วยแนวทางการดำเนินงานดังกล่าวในปีนี้จะทำให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น และช่วยผลักดันการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
“ธุรกิจนี้มีแนวโน้มการเติบโตได้ดี และมีค่าเช่าเฉลี่ยสูงกว่าคลังสินค้าทั่วไป ปัจจุบันมีอัตราใช้พื้นที่เฉลี่ยต่อเดือนที่ 70% โดยคิดค่าบริการเช่าห้องเก็บของส่วนตัวเริ่มต้นที่ 3,000-10,000 บาทต่อเดือน สำหรับห้องเก็บของขนาด 4-30 ตารางเมตร ซึ่งมีการกั้นพื้นที่ห้องเก็บของเป็นสัดส่วน และใช้วัสดุก่อสร้างที่ป้องกันไฟลุกลาม ขณะที่ลูกค้าสามารถเข้า-ออกได้ตลอด 24 ชั่วโมง และควบคุมความปลอดภัยด้วยระบบคีย์การ์ด โดยปัจจุบันได้จัดแคมเปญส่งเสริมการขายสำหรับลูกค้าที่เช่าระยะยาว 1 ปี จะได้เช่าฟรีอีก 1 เดือน ส่วนบริการรับฝากสินค้ารายกล่อง คิดค่าบริการเริ่มต้นที่ 250 บาทต่อกล่องต่อเดือน และมีส่วนลดค่าบริการเริ่มต้นเหลือ 125 บาทต่อกล่องต่อเดือน สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการระยะยาวตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป” นายชวนินทร์ กล่าว