ครม.สั่งลุยแผนกู้วิกฤตไอแบงก์ หลังพบขาดทุนยับเยินเฉียด 3 หมื่นล้านบาท ใช้วิธีการโอนหนี้เสีย และลดทุนเหลือ 1 สตางค์ สคร.คาดค่าใช้จ่ายในการกู้สถานะถึง 3.31 ล้านบาท
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการปรับโครงสร้างทางการเงินของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) จากผลประกอบการของไอแบงก์ ที่รายงาน ครม.มีผลขาดทุนสะสมสูงถึง 2.82 หมื่นล้านบาท ส่วนของทุนติดลบ 1.69 หมื่นล้านบาท เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง หรือบีไอเอส ติดลบ 30.64% ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่กำหนดไว้ 8.5%
สำหรับแผนการปรับโครงสร้างทางการเงิน เป็นแผนยุทธศาสตร์ฟื้นฟู และแผนธุรกิจปี 2560-2564 ประกอบด้วย การโอนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีเอฟ) ที่ไม่ใช่มุสลิมไปยังบริษัท บริหารสินทรัพย์ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด หรือ IAM จำนวน 5 หมื่นล้านบาท, ลดทุนเหลือหุ้นละ 0.01 บาท หรือ 1 สตางค์, โอนเงินสำรองตามกฎหมาย 473 ล้านบาท และแก้ไข พ.ร.บ.ไอแบงก์ ให้กระทรวงการคลังถือหุ้นเกิน 49% ผ่านการเพิ่มทุน 1.81 หมื่นล้านบาท
ขณะที่การปรับโครงสร้างทางธุรกิจให้เพิ่มรายได้ในปี 2560 ตั้งเป้าหมายสินเชื่อเติบโต 3 หมื่นล้านบาท และปล่อยสินเชื่อใหม่ที่หลากหลายมากขึ้น โดยเน้นการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าที่มีขนาดมากกว่า 200 ล้านบาท ที่เป็นภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจเพื่อขยายฐานลูกค้า ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยให้เพิ่มได้ไม่ให้เกิน 5% ต่อปี ลดเอ็นพีเอฟ ลงไม่เกิน 6% ใช้ทรัพยากรร่วมกับสถาบันการเงินอื่นๆ โดยหลังจากมีการปรับโครงสร้างแล้ว ไอแบงก์ประมาณการกำไรในปีนี้จะกลับมาได้ และบีไอเอสจะอยู่ที่ราว 1.47%
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า การปรับโครงสร้างทางการเงินของไอแบงก์ จะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายรวม 3.31 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย การเพิ่มทุน 1.81 หมื่นล้านบาท เป็นงบประมาณ 2 พันล้านบาท และที่เหลือจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และการขอรับจัดสรรเงินงบประมาณชดเชยต้นเงิน ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายตามประมาณการของ IAM ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ส่วนกรณีที่ไม่สามารถเรียกเก็บหนี้ได้ตามประมาณการ IAM คาดว่าอาจขอรับจัดสรรงบประมาณสูงสุด 2.24 หมื่นล้านบาท