สศค.กำหนดอัตราภาษีลาภลอยที่ 5% เก็บเฉพาะส่วนต่างของราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นหลังมีโครงการพัฒนาของรัฐ พร้อมยังกำหนดรัศมีที่ตั้งของโครงการโดยรอบ ส่วนเจ้าของที่ดินที่เสียประโยชน์จากการมีโครงการพัฒนาของรัฐอาจจะต้องมีระบบการชดเชย
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวถึงการพิจารณายกร่าง พ.ร.บ. ภาษีจากผู้ได้รับประโยชน์จนกการพัฒนาโครงการพื้นฐานของรัฐ หรือภาษีลาภลอยว่า สศค. จะเสนออัตราภาษีดังกล่าวที่ 5% เพื่อจัดเก็บจากเจ้าของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงการที่รัฐลงทุน ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟความเร็วสูง ทางด่วน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม วิธีการจัดเก็บภาษีดังกล่าวนั้น จะเก็บเฉพาะส่วนต่างของผลประโยชน์ที่ผู้เป็นเจ้าของโครงการได้รับเพิ่มเติมเมื่อเทียบราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่มีโครงการของรัฐ เช่น ราคาอสังหาริมทรัพย์ก่อนการมีโครงการพัฒนาของรัฐอาจจะมีราคาเพียง 100 ล้านบาท แต่หลังจากมีโครงการของรัฐแล้วราคาปรับตัวขึ้นเป็น 150 ล้านบาท ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็จะต้องเสียงภาษีที่ 5% จากราคาอสังหาริมทพรัย์ส่วนที่เพิ่มขึ้น 50 ล้านบาท
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการ สศค. ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในกรณีที่โครงการลงทุนของรัฐได้ทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์เกิดการเสียประโยชน์ขึ้นมา เช่น มีสะพานไปบดบัง ก็เป็นเรื่องที่ สศค.จะต้องพิจารณาเช่นกันว่า จะหาทางออกกันอย่างไร เช่น อาจจำเป็นต้องมรการชดเชยให้แก่เจ้าของที่ดินด้วยหรือไม่
โดยในร่าง พ.ร.บ. ภาษีลาภลอยนั้น จะกำหนดรัศมีที่นับจากตัวโครงการต่างไปเอาไว้ เช่น โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่รัศมีภายใน 2-3 กิโลเมตรรอบโครงการถไฟฟ้า จะเข้าข่ายต้องมีเสียภาษีลาภลอย โดยกระทรสงการคลังจะยกเว้นภาระภาษีนี้ให้ในกรณีที่ผู้พัฒนาโครงการยังไม่มีการขายอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ ออกไป
ทั้งนี้ โครงการลงทุนของรัฐโครงการใดบ้างที่จะถูกกำหนดให้เป็นโครงการที่เพิ่มมูลค่าให้แก่ตัวอสังหาริมทรัพย์นั้น จะถูกกำหนดไว้ในกฎหมายลูกต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม โครงการลงทุนของรัฐที่สร้างเสร็จ และเปิดให้บริการก่อนที่ พ.ร.บ. ลาภลอยนี้จะมีผลบังคับใช้ กำหนดให้ไม่อยู่ในข่ายต้องบังคับใช้ตามกฎหมายภาษีนี้
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวถึงการพิจารณายกร่าง พ.ร.บ. ภาษีจากผู้ได้รับประโยชน์จนกการพัฒนาโครงการพื้นฐานของรัฐ หรือภาษีลาภลอยว่า สศค. จะเสนออัตราภาษีดังกล่าวที่ 5% เพื่อจัดเก็บจากเจ้าของโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงการที่รัฐลงทุน ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟความเร็วสูง ทางด่วน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม วิธีการจัดเก็บภาษีดังกล่าวนั้น จะเก็บเฉพาะส่วนต่างของผลประโยชน์ที่ผู้เป็นเจ้าของโครงการได้รับเพิ่มเติมเมื่อเทียบราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่มีโครงการของรัฐ เช่น ราคาอสังหาริมทรัพย์ก่อนการมีโครงการพัฒนาของรัฐอาจจะมีราคาเพียง 100 ล้านบาท แต่หลังจากมีโครงการของรัฐแล้วราคาปรับตัวขึ้นเป็น 150 ล้านบาท ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็จะต้องเสียงภาษีที่ 5% จากราคาอสังหาริมทพรัย์ส่วนที่เพิ่มขึ้น 50 ล้านบาท
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการ สศค. ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ในกรณีที่โครงการลงทุนของรัฐได้ทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์เกิดการเสียประโยชน์ขึ้นมา เช่น มีสะพานไปบดบัง ก็เป็นเรื่องที่ สศค.จะต้องพิจารณาเช่นกันว่า จะหาทางออกกันอย่างไร เช่น อาจจำเป็นต้องมรการชดเชยให้แก่เจ้าของที่ดินด้วยหรือไม่
โดยในร่าง พ.ร.บ. ภาษีลาภลอยนั้น จะกำหนดรัศมีที่นับจากตัวโครงการต่างไปเอาไว้ เช่น โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่รัศมีภายใน 2-3 กิโลเมตรรอบโครงการถไฟฟ้า จะเข้าข่ายต้องมีเสียภาษีลาภลอย โดยกระทรสงการคลังจะยกเว้นภาระภาษีนี้ให้ในกรณีที่ผู้พัฒนาโครงการยังไม่มีการขายอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ ออกไป
ทั้งนี้ โครงการลงทุนของรัฐโครงการใดบ้างที่จะถูกกำหนดให้เป็นโครงการที่เพิ่มมูลค่าให้แก่ตัวอสังหาริมทรัพย์นั้น จะถูกกำหนดไว้ในกฎหมายลูกต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม โครงการลงทุนของรัฐที่สร้างเสร็จ และเปิดให้บริการก่อนที่ พ.ร.บ. ลาภลอยนี้จะมีผลบังคับใช้ กำหนดให้ไม่อยู่ในข่ายต้องบังคับใช้ตามกฎหมายภาษีนี้