xs
xsm
sm
md
lg

ธปท.เผยงบปี 59 ขาดทุน 139,000 ล้านบาท แจงเป็นผลทางบัญชี ยันทุนสำรองยังแน่นปึ้ก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ธปท.เผยงบปี 59 ขาดทุน 139,000 ล้านบาท จากเงินสำรองสกุลต่างประเทศอ่อนค่า และแบกต้นทุนดอกเบี้ยบาท แจงเป็นผลทางบัญชี ยันทุนสำรองยังแน่นปึ้ก

นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่มีการเผยแพร่งบการดำเนินงานประจำปี 2559 ของ ธปท.นั้น ขอเรียนข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับการดำเนินงานช่วงที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจการเงินของโลกมีความผันผวนต่อเนื่องตลอดปี 2559 จากความไม่แน่นอนของทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลัก จนถึงการเลือกตั้งหลายประเทศที่เปลี่ยนทัศนคติ และมุมมองของนักลงทุนต่อการลงทุนในสินทรัพย์ของประเทศอุตสาหกรรมหลัก ส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าประเทศเกิดใหม่ รวมทั้งไทยปริมาณสูงเป็นระยะๆ ธปท.จึงเข้าไปดูแลเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดเงินตราต่างประเทศของไทยที่มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับปริมาณเงินทุนที่ไหลเข้ามาในบางช่วงอย่างรวดเร็ว และในปริมาณที่สูง

ส่วนการทำหน้าที่ของ ธปท.ในการรักษาเสถียรภาพของตลาดด้วยการเข้าไปซื้อเงินตราต่างประเทศ เพื่อให้การปรับแข็งค่าของเงินบาทเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เวลากับเอกชนปรับตัวนั้น ทำให้ ธปท.มีค่าใช้จ่ายในการดูดซับสภาพคล่องที่ ธปท.ปล่อยเข้าสู่ระบบจากการซื้อเงินตราต่างประเทศ ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นต้นทุนรักษาเสถียรภาพตลาดเงินในประเทศที่ส่งผลต่อฐานะการเงินของ ธปท. สภาวะดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางของหลายประเทศต้องมีภาระในการดูแลเสถียรภาพการเงินของประเทศ ซึ่งเป็นบทบาทหน้าที่ของธนาคารกลาง

ทั้งนี้ ในปี 2559 ธปท.มีผลขาดทุน 139,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจตามหน้าที่ โดยมีต้นทุนที่เป็นผลของการทำนโยบาย 2 ส่วนที่สำคัญ คือ ส่วนที่ 1 ผลจากการตีราคาเงินสำรองระหว่างประเทศ ประกอบด้วย สินทรัพย์ต่างประเทศสกุลต่างๆ อาทิ ดอลลาร์สหรัฐ ยูโร เยน ปอนด์ เป็นต้นนั้น ทุกสิ้นปีจะมีการเทียบมูลค่าสินทรัพย์เหล่านี้ในรูปของเงินบาท เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานทางบัญชี โดยปี 2559 เงินสกุลหลักโดยเฉพาะเงินปอนด์ และเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินบาท จึงมีผลขาดทุนจากการตีราคา 58,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนทางบัญชี ทั้งนี้ มาตรฐานบัญชีที่กำหนดให้ตีราคาเงินสำรองระหว่างประเทศเป็นเงินบาท เพื่อให้ทราบว่า หากจำเป็นต้องขายเงินสำรองทั้งหมดเพื่อแปลงให้อยู่ในรูปเงินบาทแล้ว สถานะการเงินจะเป็นอย่างไร แต่ ธปท.ไม่ได้ขายเงินสำรองระหว่างประเทศที่ถือครองออกไป โดยสิ้นปี 2559 ธปท.มีเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 171,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับปี 2558 ที่ 157,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขขาดทุนจากการตีราคา จึงเป็นการขาดทุนทางบัญชี ที่ผ่านมา งบการเงินของ ธปท. มักจะแสดงผลขาดทุนในปีที่เงินตราต่างประเทศมีค่าอ่อนลง หรือเงินบาทแข็ง เช่น ช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหา และเงินสกุลของประเทศอุตสาหกรรมหลักอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินบาท ในทางกลับกัน งบการเงินของ ธปท.จะมีกำไรในปีที่เงินตราต่างประเทศปรับแข็งค่าขึ้น หรือเงินบาทอ่อน เช่น ในช่วงที่มีเงินทุนไหลออกจากประเทศไทย

ส่วนที่ 2 ผลจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยรับจ่าย ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. เพื่อดูดซับสภาพคล่องในระบบ ซึ่งมีต้นทุนเป็นดอกเบี้ยบาท และมีดอกเบี้ยรับจากการนำเงินตราต่างประเทศในเงินสำรองระหว่างประเทศไปลงทุนนั้น ปี 2559 ดอกเบี้ยเงินสกุลสำคัญของโลกต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินบาท ทำให้เกิดการขาดทุนจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผลการขาดทุนส่วนนี้ได้ปรับลดลงต่อเนื่องตามอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่ลดต่ำลง และดอกเบี้ยรับจากการลงทุนในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยธนาคารกลางของประเทศอุตสาหกรรมหลักบางแห่งเริ่มทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายช่วงปลายปี 2559

ทั้งนี้ ในหลักการธนาคารกลางไม่ได้ดำเนินภารกิจเพื่อแสวงหากำไร ผลขาดทุนที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเป็นขาดทุนทางบัญชีจากการตีราคาทรัพย์สิน นอกจากนี้ ลักษณะของงบการเงินของธนาคารกลางที่ไม่ได้เป็นสกุลหลักของโลก เช่น ไทย จะมีสินทรัพย์เป็นเงินตราต่างประเทศ แต่มีหนี้สินเป็นสกุลเงินท้องถิ่น ประสบการณ์ของธนาคารกลางในหลายประเทศ อาทิ เกาหลีใต้ สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย รวมถึงกรณีของ ธปท. และงานศึกษาขององค์กรระหว่างประเทศ เช่น Bank for International Settlements (BIS) ชี้ว่า การขาดทุนของธนาคารกลางไม่ได้เป็นข้อจำกัดต่อการดำเนินนโยบายการเงิน หากยังสามารถรักษาความน่าเชื่อถือของการดำเนินนโยบายด้วยความโปร่งใส มีอิสระในการดำเนินนโยบาย และสื่อสารต่อสาธารณะอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ธปท.ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการวางแนวทางเพื่อลดผลการขาดทุน โดยส่งเสริมให้กลไกตลาดสามารถปรับตัวได้ดีขึ้น เอกชนไทยมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ด้านการนำเงินทุนออกไปลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความสมดุลของเงินทุนไหลเข้าออก โดยเฉพาะการลงทุนของธุรกิจในต่างประเทศ และการให้กองทุนรวม และผู้ลงทุนที่มีความพร้อมสามารถลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งจะช่วยบริหารเงินออมของคนไทยให้มีการกระจายตัวได้ดีขึ้นด้วย

โดยปัจจุบัน ฐานะด้านต่างประเทศของไทยอยู่ในระดับที่มั่นคง เงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง ขอให้ความมั่นใจว่า ธปท.จะยังคงยึดแนวทางการทำหน้าที่ธนาคารกลางที่ดี มุ่งมั่นดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินของประเทศเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน
กำลังโหลดความคิดเห็น