“สมคิด” ระบุเหตุระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ไม่กระทบความเชื่อมั่น เชื่อฝ่ายมั่นคงดูแลได้ แต่ขอคนไทยช่วยกันดูแล ขณะที่ “ธนวรรธน์” ห่วงผลกระทบเหตุระเบิด หากยืดเยื้อกระทบเสถียรภาพการเมือง และจีดีพี โตต่ำกว่า 3.5%
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นสิ่งไม่ปกติที่เกิดขึ้นกับหลายประเทศทั่วโลก ในส่วนของไทย ฝ่ายความมั่นคงดูแลเรื่องนี้อย่างดี ดังนั้น จึงไม่น่าเป็นห่วง เพราะนักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศไม่ได้สอบถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในส่วนของคนไทย ทุกคนจะต้องช่วยกันสอดส่องดูแลกันเองไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นอีก เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคืนมา
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เหตุการณ์ระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ นั้น เป็นสถานการณ์ที่แตกต่างจากต่างประเทศ เนื่องจากหลายคนมองว่า มาจากปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งไม่ใช่เหตุการณ์ก่อการร้ายเป็นผลกระทบระยะสั้นยังไม่เห็นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน รวมทั้งการท่องเที่ยวยังเป็นปกติ การส่งออกยังคงขยายตัวได้ดี เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวขึ้น และเงินบาทยังแข็งค่า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นห่วง คือ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจระยะกลาง หากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อมีเหตุระเบิดเกิดขึ้นอีก หรือมีสัญญาณว่าการเมืองขาดเสถียรภาพ หรือมีการเลื่อนเลือกตั้งออกไปอีกจะกระทบให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ปีนี้อาจโตต่ำกว่าร้อยละ 3.5 จากเดิมที่คาดการณ์ว่า จะขยายตัวร้อยละ 3.5-4 เนื่องจากนักลงทุนจะขาดความมั่นใจต่อเสถียรภาพทางการเมืองได้ และอาจจะกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ ให้จับตาปัญหาการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวลดลง ซึ่งทางสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์ อินเวสเตอร์เซอร์วิส ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของจีนลง อาจส่งผลกระทบมายังเศรษฐกิจไทยปี 2561 ให้ขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 4 จากเดิมที่คาดการณ์ว่า จะขยายตัวได้ร้อยละ 4-4.5