เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ เผยตลาดผู้บริโภคในประเทศฟื้น วางกลยุทธ์รุกประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ Operation BIM ผ่านช่องทางออนไลน์ และรายการโทรทัศน์ ดันยอดขายเพิ่มจากช่องทาง Direct Service และ Call Center 1154 ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 500 ล้านบาท ด้าน BIM Health Center กระแสตอบรับดี เดินหน้าร่วมมือคณะแพทย์เปิดสาขาต่อเนื่อง เล็งเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมังคุดเพิ่มอีก 2 เท่า รองรับความต้องการผู้บริโภค
ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO เจ้าของธุรกิจนวัตกรรมธรรมชาติเพื่อสุขภาพและความงามด้วยการวิจัย พัฒนา ผลิต และจำหน่ายครบวงจร เปิดเผยว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์แนะนำผลิตภัณฑ์ทั้งทาง Social Media และรายการโทรทัศน์ อีกทั้งมีการจัดโปรโมรชันกระตุ้นการขาย ส่งผลให้บริษัทมียอดสั่งซื้อผ่าน Direct Service และ Call Center 1154 มากขึ้น รวมถึงการที่บริษัทมีช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย ทั้ง Direct Service, TV Marketing, Call Center 1154, BIM Health Center และ Digital Marketing ทำให้บริษัทเชื่อมั่นว่า จะสามารถผลักดันยอดขายทั้งปีให้โตอย่างน้อย 20% หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท และคงอัตราส่วนกำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 85%
สำหรับศูนย์ BIM Health Center สาขาล่าสุด ณ ศูนย์การค้า พาราไดซ์ พาร์ค ศรีนครินทร์ หลังเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ มีกระแสตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค และผู้ป่วยเข้าขอคำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นอีกช่องทางการจำหน่ายที่จะช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น ซึ่งบริษัทมีแผนจะขยาย BIM Health Center อย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นการร่วมมือกับคณะแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น และเลือกเปิดศูนย์ในทำเลที่มีความเหมาะสม
นอกจากนี้ บริษัทยังเซ็นสัญญากับสวนมังคุดเพิ่มปริมาณวัตถุดิบสำหรับความต้องการใช้น้ำมังคุด BIM ของผู้บริโภค จากการที่มีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไม่เกิดพิษต่อตับ และไตที่เกิดจากการดื่มน้ำมังคุดที่มีเปลือกมังคุดเป็นส่วนผสม แล้วเกิดการสะสมสารแทนนินมากจนเป็นพิษต่อตับและไต อีกทั้ง บริษัทได้ลงนามความร่วมมือกับสถาบันทางการแพทย์ชั้นนำในการพัฒนางานวิจัยเพื่อเสริมประสิทธิภาพของเซลล์ทีพิฆาตที่เพิ่มขึ้นจากการใช้แคปซูลของบริษัท จัดการกับปัญหามะเร็ง, HIV/AIDS, ไวรัสตับอักเสบ และโรคติดเชื้อดื้อยา ให้ตอบสนองการดูแลผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น และครอบคลุมความต้องการเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพต่างๆ โดยคาดว่าจะได้รับผลสำเร็จในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้