“โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์” คาดหวังผลการดำเนินงานปี 2560 จะกลับมามีกำไร หลังจากที่บริษัทฯ ประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่องติดต่อกันหลายปี เหตุผลประกอบการไตรมาส 1 ที่ผ่านมา เริ่มสะท้อนกำไรให้เห็นจากค่าระวางเรือที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น พร้อมเตรียมเสริมทัพเรือเทกองขนาดใหญ่รับออเดอร์ ตั้งเป้าขยายสาขากลุ่มธุรกิจของพีเอช แคปปิตอล ให้ได้ 100 สาขาภายใน 5 ปี ยอมรับเจรจาพันธมิตรเข้าลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันหลายราย คาดได้ข้อสรุปบางส่วนในปีนี้
นายจิเทนเดอร์ พอล เวอร์มา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสและประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) กล่าวถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ว่า บริษัทฯ ประเมินศักยภาพผลประกอบการในปีนี้ โดยคาดว่าจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ หลังจากที่ประสบปัญหาขาดทุนสะสมต่อเนื่องหลายปีติดต่อกันมาก่อนหน้านี้ โดยผลประกอบการปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการขาดทุนสุทธิ จำนวน 418.29 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรกของปี 2560 บริษัทเริ่มกลับมามีกำไร จำนวน 87.22 ล้านบาท เนื่องจากอัตราค่าระวางเรือได้ทยอยปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ในส่วนของไตรมาส 2/60 มองว่า จะเริ่มเห็นสัญญาณของการทำกำไรอย่างชัดเจนมากขึ้น เปรียบเทียบจากอัตราค่าระวางเรือในปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 5,200 เหรียญสหรัฐต่อลำต่อวัน ขณะที่ในไตรมาส 1/2560 มีอัตราค่าระวางเรือเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7,015 เหรียญสหรัฐต่อลำต่อวัน ส่งผลให้มีรายได้และกำไรเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะซื้อเรือเข้ามาทดแทนเรือเก่าที่มีอายุ 20-25 ปี ที่ใกล้จะปลดระวางลง โดยปัจจุบันมีเรือที่มีอายุถึงเกณฑ์ในการปลดระวาง และเตรียมที่จะขายออก จำนวน 3 ลำ ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ก็ได้ซื้อเรือ Supramax ขนาดเฉลี่ยเท่ากับ 54,170 DWT จำนวน 1 ลำเพิ่มเข้ามา ทำให้ปัจจุบันมีเรือที่ให้บริการประจำกองเรือทั้งสิ้นจำนวน 20 ลำ โดยมั่นใจว่า จากการปรับกองเรือให้ทันสมัยจะรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
ขณะเดียวกัน ในส่วนของกลุ่มธุรกิจในเครือ ได้แก่ บมจ.เมอร์เมด มาริไทม์ ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นสิงคโปร์นั้น แม้ว่าสถานการณ์ในตลาดน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ จะยังคงมีความผันผวนอยู่ และอัตราการใช้ประโยชน์ของเรือลดลง แต่เชื่อมั่นว่า ธุรกิจของกลุ่มเมอร์เมด ยังคงสามารถทำกำไรสุทธิได้ในไตรมาสแรก อีกทั้ง ยังได้พยายามที่จะแสวงหาโอกาสในการเข้าไปรับงานใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการขุดเจาะแหล่งปิโตรเลียม ทั้งแหล่งบงกช และเอราวัณ ก็มีความพร้อมหากภาครัฐเปิดประมูล
ขณะที่ในส่วนของ บมจ.พีเอ็ม โทรีเซน เอเชีย โฮลดิ้งส์ หรือ PMTA บริษัทฯ ได้วางแผนในการขยายตลาดไปต่างประเทศมากขึ้น โดยเน้นทวีปแอฟริกา และฟิลิปปินส์ ขณะที่ในส่วนของการเช่าพื้นที่โรงงานยังคงอยู่ในระดับสูง เป็นผลให้อัตราการใช้ประโยชน์ของพื้นที่โรงงานให้เช่าอยู่ในระดับ 100%
ด้าน บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส หรือ UMS นั้น บริษัทตั้งเป้าปริมาณการขายถ่านหินปีนี้ไว้ที่ประมาณ 2 แสนตัน โดยมองผลการดำเนินงานน่าจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าจากถ่านหิน หันไปผลิตไฟฟ้าประเภทอื่นมากขึ้น
สำหรับธุรกิจอาหารที่บริษัท พีเอช แคปปิตอล จำกัด หรือ PHC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ TTA ถือหุ้น 70% เข้าทำสัญญาซื้อขายสินทรัพย์ในกิจการพิซซ่า ฮัท ในประเทศไทย จะสามารถเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/2560 โดยบริษัทฯ เตรียมขยายสาขาเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 100 สาขา ภายใน 5 ปีนี้
“บริษัทฯ มีความพร้อมในการเข้าไปลงทุนธุรกิจใหม่ๆ โดยปัจจุบันนี้มีเงินสดในมือกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งมากพอที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับที่บริษัททำอยู่ ได้แก่ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงธุรกิจไลฟ์สไตล์ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรหลายราย คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในปีนี้”