เอกชนเสนอสรรพสามิต ใช้วิธีจัดเก็บภาษีแบบผสมที่คิดตามปริมาณ และมูลค่าสินค้าเป็นฐานในการคำนวณ อ้าง ช่วยป้องกันผู้ประกอบการหันไปผลิตของราคาถูก หรือแจ้งราคานำเข้าที่ต่ำเกินจริง เลี่ยงเสียภาษีแพง
นางมัลลิกา ภูมิวาร ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี ศุลกากรและการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ จากบริษัท โบลลิเกอร์ แอนด์ คอมพานี คอนซัลติ้ง กล่าวถึงการกำหนดวิธีการจัดเก็บภาษีตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต พ.ศ. 2560 ว่า ระบบภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าส่วนใหญ่ที่จะการเก็บภาษีตามมูลค่าสินค้าเพียงอย่างเดียวนั้น จะทำให้ผู้ประกอบการหันไปเน้นการผลิตของราคาถูก หรือพยายามสำแดงราคานำเข้าต่ำเพื่อจะได้ลดภาระภาษี เนื่องจากของราคาถูกจะเสียภาษีน้อยกว่าของราคาแพง ซึ่งจะทำให้กรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บภาษีได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้น เมื่อ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 กำหนดให้จัดเก็บภาษีสรรพสามิตในระบบผสมได้ คือ เก็บภาษีทั้งตามมูลค่า และตามปริมาณ ก็จะช่วยให้อุดช่องโหว่ในระบบภาษี และช่วยให้กรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ นางมัลลิกา ได้ยกตัวอย่างปัญหาการที่บริษัทสำแดงราคานำเข้า หรือราคา CIF ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งทำให้ต้องมีการประเมินราคาในอดีต เช่น รถ Grey market หรือบุหรี่นำเข้าราคาถูกที่เข้ามาตีตลาดไทยจนทำให้มีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่อยู่เป็นระยะๆ โดยล่าสุด ได้ปรับขึ้นไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560 แต่การจัดเก็บรายได้ของภาษียาสูบ ก็ยังต่ำกว่าเป้า เมื่อพิจารณาจากรายงานผลการจัดเก็บรายได้กรมสรรพสามิตในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 นั้น สามารถเก็บภาษียาสูบได้ต่ำกว่าเป้าไปถึง 6,764.6 ล้านบาท หรือลดลง 14% และเพิ่มขึ้นจากช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2559 เพียง 6.7% เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ยังมีช่องโหว่ในการเก็บรายได้อยู่มาก
ดังนั้น การที่กฎหมายภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่จะเปลี่ยนฐานภาษีตามมูลค่ามาเป็นราคาขายปลีกแนะนำ ย่อมจะช่วยลดปัญหาการสูญเสียรายได้ภาษีได้ ประกอบกับจะมีการใช้ระบบภาษีแบบผสมโดยเก็บภาษีทั้งตามปริมาณ และราคา ที่จะมีภาษีตามปริมาณคอยทำหน้าที่เป็นเสมือนภาษีขั้นต่ำด้วย ซึ่งจะเป็นระบบภาษีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บได้มากขึ้น และยังสอดคล้องกับคำแนะนำของธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศอีกด้วย ระหว่างนี้ภาคเอกชนกำลังรอความชัดเจนในส่วนของกฎหมายลูก และพร้อมที่จะเข้าให้ข้อมูล และทำงานร่วมกับกรม เพื่อให้ได้ระบบภาษีสรรพสามิตที่มีประสิทธิภาพ เท่าเทียม เป็นสากลอย่างแท้จริง
นางมัลลิกา ภูมิวาร ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี ศุลกากรและการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ จากบริษัท โบลลิเกอร์ แอนด์ คอมพานี คอนซัลติ้ง กล่าวถึงการกำหนดวิธีการจัดเก็บภาษีตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต พ.ศ. 2560 ว่า ระบบภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าส่วนใหญ่ที่จะการเก็บภาษีตามมูลค่าสินค้าเพียงอย่างเดียวนั้น จะทำให้ผู้ประกอบการหันไปเน้นการผลิตของราคาถูก หรือพยายามสำแดงราคานำเข้าต่ำเพื่อจะได้ลดภาระภาษี เนื่องจากของราคาถูกจะเสียภาษีน้อยกว่าของราคาแพง ซึ่งจะทำให้กรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บภาษีได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้น เมื่อ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 กำหนดให้จัดเก็บภาษีสรรพสามิตในระบบผสมได้ คือ เก็บภาษีทั้งตามมูลค่า และตามปริมาณ ก็จะช่วยให้อุดช่องโหว่ในระบบภาษี และช่วยให้กรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ นางมัลลิกา ได้ยกตัวอย่างปัญหาการที่บริษัทสำแดงราคานำเข้า หรือราคา CIF ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งทำให้ต้องมีการประเมินราคาในอดีต เช่น รถ Grey market หรือบุหรี่นำเข้าราคาถูกที่เข้ามาตีตลาดไทยจนทำให้มีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตบุหรี่อยู่เป็นระยะๆ โดยล่าสุด ได้ปรับขึ้นไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560 แต่การจัดเก็บรายได้ของภาษียาสูบ ก็ยังต่ำกว่าเป้า เมื่อพิจารณาจากรายงานผลการจัดเก็บรายได้กรมสรรพสามิตในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2560 นั้น สามารถเก็บภาษียาสูบได้ต่ำกว่าเป้าไปถึง 6,764.6 ล้านบาท หรือลดลง 14% และเพิ่มขึ้นจากช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2559 เพียง 6.7% เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ยังมีช่องโหว่ในการเก็บรายได้อยู่มาก
ดังนั้น การที่กฎหมายภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่จะเปลี่ยนฐานภาษีตามมูลค่ามาเป็นราคาขายปลีกแนะนำ ย่อมจะช่วยลดปัญหาการสูญเสียรายได้ภาษีได้ ประกอบกับจะมีการใช้ระบบภาษีแบบผสมโดยเก็บภาษีทั้งตามปริมาณ และราคา ที่จะมีภาษีตามปริมาณคอยทำหน้าที่เป็นเสมือนภาษีขั้นต่ำด้วย ซึ่งจะเป็นระบบภาษีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บได้มากขึ้น และยังสอดคล้องกับคำแนะนำของธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศอีกด้วย ระหว่างนี้ภาคเอกชนกำลังรอความชัดเจนในส่วนของกฎหมายลูก และพร้อมที่จะเข้าให้ข้อมูล และทำงานร่วมกับกรม เพื่อให้ได้ระบบภาษีสรรพสามิตที่มีประสิทธิภาพ เท่าเทียม เป็นสากลอย่างแท้จริง