“ทรีนีตี้” ปรับกลยุทธสร้างราย ตั้งเป้าเจาะกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ปีนี้เพิ่ม 20% พร้อมชูผลตอบแทนลูกค้าให้ชนะตลาด 20% เล็งนำบริษัทระดมทุนทั้ง IPO และ PP อย่างนี้บ 7-9 บริษัทในช่วง 3 ปีนี้ และเป็นที่ปรึกษาออกหุ้นกู้ในปีนี้อีก 6-8 บริษัทมูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาท
นายชาญชัย กงทองลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY เปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายขยายฐานลูกค้าธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นการเพิ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) อีก 20% ด้วยกลยุทธ์การส่งมอบผลตอบแทนในการลงทุนให้กับลูกค้าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด 20% พร้อมกันนี้จะเพิ่มเงินลงทุนภายใต้การบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคลเป็น 3,300 ล้านบาท
ขณะที่ในด้านธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงินนั้น ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทนำบริษัทจดทะเบียนเข้าซื้อขายหุ้น IPO จำนวน 4 บริษัท ได้แก่ บมจ.ทีพีซี พาวเวอร์ โฮลดิ้ง (TPCH), บมจ.เอส 11 กรุ๊ป (S11), บมจ.มาสเตอร์ คูล อินเตอร์เนชั่นแนล (KOOL) และ บมจ. โคแมนชี่ อินเตอร์เนชั่นแนล (COMAN) โดยในปี 2560 บริษัทตั้งเป้าให้บริการออกหุ้นเพิ่มทุน ทั้งในส่วนของการเสนอขายหุ้นใหม่ครั้งแรก (IPO) ได้แก่ บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ ซึ่งยื่นไฟลิ่งไปแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาแบบคำขอจากสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และเป็นธุรกิจในหมวดขนส่งและลอจิสติกส์ สำหรับบริษัทอื่นๆ ที่อยู่ในช่วงกำลังดำเนินงาน จำนวน 7-9 บริษัท มีแผนที่จะเข้าระดมทุนทั้ง IPO และ PP ซึ่งอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น หมวดสถาบันการเงิน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ธุรกิจก่อสร้าง สื่อ และพาณิชย์ ขณะที่งานให้บริการด้านการปรับโครงสร้างกิจการ การปรับโครงสร้างทางการเงิน และการควบรวมกิจการ (M&A) ทั้งใน และต่างประเทศ ที่อยู่ในช่วงกำลังดำเนินงานอยู่มีจำนวน 4-5 บริษัท
ส่วนธุรกิจการออกตราสารหนี้ (หุ้นกู้) ในปี 2559 บริษัทได้เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ไปแล้ว 8 บริษัท มูลค่า 3,395 ล้านบาท และมีแผนจำหน่ายหุ้นกู้ในปี 2560 อีก 6-8 บริษัท รวมมูลค่าประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท โดยเป็นธุรกิจในหมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทรัพยากร เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร อาหารและเครื่องดื่ม โดยตลาดตราสารหนี้ยังคงเป็นทางเลือกในการระดมทุนในตลาดทุน เนื่องจากคาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังคงอยู่ในระดับ 1.50% ไปจนถึงกลางปี 2560
ขณะที่รายได้จากการลงทุน เช่น มาร์เกตเมกเกอร์ เดย์เทรด การเก็งกำไรส่วนต่างของราคาหุ้นเริ่มมั่นคง และสม่ำเสมอมากขึ้น โดยในปี 2559 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากเงินลงทุน 219 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มีรายได้จากการลงทุน 172 ล้านบาท ส่วนดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์อยู่ที่ 150 ล้านบาท จาก 129 ล้านบาทในปี 2558
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้ของบริษัทในปัจจุบันมาจากรายได้ธุรกิจหลักทรัพย์ 42.71% รายได้การลงทุน 27.76% รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมหลักทรัพย์ 18.97% รายได้จากการบริหารกองทุนส่วนบุคคล 3.43% และรายได้จากธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงิน 5.08%
“บริษัทยังคงดำเนินนโยบายกระจายฐานรายได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะการกระจายธุรกิจไปสู่การบริหารเงินลงทุน การออกตราสารหนี้ และที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงต่อเนื่อง เพื่อให้ธุรกิจมีเสถียรภาพ และผู้ถือหุ้นได้มั่นใจในความสามารถในการทำกำไรระยะยาว”
ล่าสุด ปี 2559 บริษัทจ่ายเงินปันผลทั้งสิ้นในอัตราหุ้นละ 0.65 บาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลรวม 80.45% ของกำไรบริษัท หากเทียบกับราคาหุ้น ณ วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend yield) 9.42% ขณะที่ค่าเฉลี่ยอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ อยู่ที่ระดับ 3-4% ส่วนค่าเฉลี่ยกลุ่มอุตสาหกรรมการเงินอยู่ในระดับ 2-3% และจากข้อมูลวันที่ 28 เมษายน 2560 บริษัทนับเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงสุดเป็นอันดับ 7 จากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด
ขณะที่ นางแก้วกมล ตันติเฉลิม รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธนบดีธนกิจ กล่าวว่า ในส่วนของรายได้จากการบริหารกองทุนส่วนบุคคลของบริษัทฯ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถัวเฉลี่ยปีละ 25% ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะสำหรับบริษัทหลักทรัพย์ที่ไม่มีธนาคารเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และภายใต้การแข่งขันที่มีผู้ประกอบการถึง 39 รายในอุตสาหกรรม โดยในปี 2559 บริษัทมีขนาดกองทุนส่วนบุคคลภายใต้การบริหาร อยู่ที่ 2,680 ล้านบาท โตขึ้น 9% จากปี 2558 และตั้งเป้าว่า จะมีขนาดกองทุนเพิ่มขึ้นเป็น 3,300 ล้านบาท หรือโตขั้น 23% ในปี 2560 โดย ณ สิ้นเดือนเมษายน 2560 ทรัพย์สินภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้น 12% อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 52% ของเป้าหมายในปีนี้
สำหรับอัตราผลตอบแทนทั้งปี 2559 อยู่ที่ 11% และนับจากเดือนมกราคม 2560 ถึงสิ้นเดือนเมษายน 2560 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 5% ซึ่งถือว่ายังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้