xs
xsm
sm
md
lg

“สมคิด” นำทีมภาครัฐ-เอกชนร่วมคณะไปลาว 23-25 พ.ค.นี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“สมคิด” นำทีมภาครัฐ-เอกชนร่วมคณะไปลาว 23-25 พ.ค.นี้ พร้อมเซ็น MOU 4 ฉบับ ยกระดับพัฒนา-ต่อยอด SME

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นำคณะหน่วยงานด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ระหว่าง 23-25 พ.ค.นี้ พร้อมด้วย กระทรวงอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ธพว.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือในการส่งเสริมธุรกิจ SMEs กับองค์กรภาครัฐ และภาคเอกชนที่มีบทบาทสำคัญในทางธุรกิจของ สปป.ลาว

สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ทั้ง 2 ประเทศจะให้ความร่วมมือ อาทิ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านศูนย์บริการ SMEs การส่งเสริมพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป การส่งเสริมช่องทางการค้าการลงทุน การทำ Digital Marketing รวมทั้งการส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของทั้ง 2 ประเทศ ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23-25 พฤษภาคม 2560 ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ด้าน นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ล่าสุด ได้เดินหน้าสานความสัมพันธ์ และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ซึ่งมีจุดมุ่งหมายให้ทั้งสองประเทศใช้ประโยชน์จากกันและกัน โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ การหยิบใช้ความได้เปรียบของทั้ง 2 ประเทศที่เอื้อผลประโยชน์ระหว่างกัน การสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการส่งเสริมธุรกิจ การส่งเสริมการตลาด และช่องทางการซื้อขายสินค้าระหว่างกัน ทั้งยังมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญ คือ การพัฒนาผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่เพื่อให้เป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถในการทำธุรกิจในระดับต่างๆ ในอนาคต

สำหรับ สปป.ลาว เป็นประเทศขนาดเล็กที่มีประชากรเพียง 6.8 ล้านคนเศษ แต่เป็นประเทศที่มีศักยภาพ และน่าจับตามองอย่างมากในขณะนี้ เนื่องด้วยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ และแม่น้ำลำคลองต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศ การมีเส้นทางแม่น้ำโขงไหลผ่านตั้งแต่เหนือจรดใต้ สถานะการทางการเมืองในปัจจุบันที่มีเสถียรภาพ และไม่มีความขัดแย้ง ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังมีการขยายตัวในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ต่อปี โดยเฉพาะอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้าที่เป็นอุตสาหกรรมสาขาหลักที่สร้างรายได้มหาศาลให้แก่ประเทศ โดยในปัจจุบัน สปป.ลาว ถือเป็นผู้ขายพลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ให้กับไทย และการมีเขื่อนพลังน้ำถึง 33 เขื่อน ยังทำให้ สปป.ลาว ตั้งวิสัยทัศน์ที่จะเป็นแหล่งพลังงานของอาเซียน (Battery of ASEAN)

ทั้งนี้ แม้ว่า สปป.ลาว จะเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล แต่ตั้งเป้าในการเปลี่ยนสถานะจาก Land Lock ให้เป็น Land Link ให้ได้ โดยอนาคต สปป.ลาว จะเป็นสะพานเชื่อมโยงในการติดต่อด้านการค้า และการส่งสินค้าผ่าน สปป.ลาว ไปยังประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ และที่สำคัญ นอกจากนี้ คือ สปป.ลาว ยังเป็นประเทศที่ไม่ถูกจำกัดโควตาการส่งออก และยังได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา และได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีศุลกากรจากสหรัฐอเมริกา และยุโรปอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม แม้ สปป.ลาวจะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ รวมทั้งได้ออกนโยบายการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นให้มีการลงทุนในประเทศมากขึ้น กอปรกับความได้เปรียบต่างๆ ที่เอื้อต่อการลงทุน แต่ก็ยังมีอุปสรรคต่อการลงทุนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ด้านแรงงานของ สปป.ลาวที่ยังขาดทักษะ และเป็นแรงงานไร้ฝีมือ รวมทั้งยังขาดผู้ประกอบการที่มีความรู้ ความสามารถในการทำธุรกิจกับต่างประเทศ

จากข้อมูลเบื้องต้นดังกล่าว ประเด็นสำคัญหนึ่งที่ไทยสามารถส่งเสริมสนับสนุน และร่วมมือกับ สปป.ลาวได้ คือ การพัฒนาผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Young Entrepreneurs) การช่วยเหลือทางวิชาการ และการพัฒนาการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปจากไทย รวมทั้งการเชื่อมโยงธุรกิจ และดึงดูดการลงทุนจากไทย จึงได้จัดให้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการส่งเสริมธุรกิจ SMEs ของทั้งสองประเทศ ซึ่งมีจำนวน 4 ฉบับ คือ บันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการพัฒนา SMEs ของกระทรวงอุตสาหกรรม กับกรมส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม (Department of SME Promotion) ของ สปป.ลาว โดยเนื้อหาสำคัญของบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ คือ การผลักดันให้ SMEs ของทั้งสองประเทศร่วมกันดำเนินธุรกิจ และขยายตลาดไปสู่ AEC และตลาดสากลให้ได้ โดยมีกรอบกิจกรรม 3 ด้าน คือ 1) การส่งเสริมพัฒนา SME เช่น การอบรมพัฒนาเรื่องการเพิ่มผลิตภาพ และการพัฒนาการบริหารจัดการ โดยให้มีกิจกรรมการเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการไทย เพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตรที่ยั่งยืน รวมทั้งการส่งเสริมพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป 2) การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการส่งเสริม SMEs ให้เจ้าหน้าที่ภาครัฐ และเอกชนของ สปป.ลาว โดยให้มีการศึกษาดูงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริม SMEs ในประเทศไทย และ 3) การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในเรื่องศูนย์บริการข้อมูลให้กับ SMEs ซึ่ง สปป.ลาว ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมมีต้นแบบจากการจัดตั้งศูนย์บริการสนับสนุน และช่วยเหลือ SME (SME Support and Rescue Center) ด้วย

ด้านสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จะลงนาม MOU กับภาคเอกชน 3 หน่วยงาน คือ สภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว (The Lao National Chamber of Commerce and Industry-LNCCI) สมาคมนักธุรกิจหนุ่มแห่งชาติลาว (Young Entrepreneurs Association of Laos-YEAL) และ สมาคมนักธุรกิจแม่หญิงลาว (The Laos Business Women Association-LBWA) ซึ่งทั้ง 3 องค์กรล้วนเป็นองค์กรภาคเอกชนที่มีบทบาทสำคัญในทางธุรกิจของ สปป.ลาว โดยสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจที่ สสว.ทำกับภาคเอกชนเน้นการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ และการส่งเสริมด้านการตลาดโดยผ่านช่องทางปกติ (Traditional) เช่น งานแสดงสินค้าในประเทศไทย และช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ผ่านเว็บไซต์ (E-commerce) ซึ่งเป็น platform ที่ สสว.ดำเนินการอยู่แล้วด้วย นอกจากนี้ จะได้มีการสนับสนุนความเข้มแข็งของศูนย์ให้บริการ SMEs สู่อาเซียน (ASEAN SME Service Center) ณ สภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว ซึ่งได้ก่อตั้งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ภายหลังการศึกษา และหารือรูปแบบในการดำเนินการร่วมกับ สสว. ขณะที่ SME Development Bank มีแผนที่จะให้การสนับสนุนทางการเงินกับผู้ประกอบการไทยในเขตชายแดน โดยออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการไทย เพื่อช่วยในการเชื่อมโยงทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการของทั้งสองประเทศได้ง่ายขึ้นด้วย โดยการลงนามความร่วมมือจำนวน 4 ฉบับในครั้งนี้จะเป็นการสร้างเวทีความร่วมมืออย่างเป็นทางการ และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายให้มีความแนบแน่นมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรม และ สสว. ยังได้ประสานกับสภาธุรกิจ ไทย-ลาว และ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อจัดให้มีเวทีในการพบปะหารือ (Business Meeting) ระหว่างผู้ประกอบการไทย กับผู้ประกอบการของลาว และหน่วยงานของไทยที่เดินทางไปร่วมการหารือในวันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม 2560 ณ โรงแรม Landmark Mekong Riverside กรุงเวียงจันทน์ เพื่อหาแนวทางความร่วมมือในการส่งเสริม SMEs และการขยายการค้าการลงทุน โดยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จะได้นำกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ภายใต้ Young Entrepreneurs' Chamber of Commerce (YEC) เข้าร่วมกิจกรรมด้วย ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้ประกอบการไทย และผู้ประกอบการ สปป.ลาว ที่มีศักยภาพเข้าร่วมการหารือประมาณ 120 คน โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สสว. และ SME Bank จะร่วมกันนำรูปแบบการส่งเสริมพัฒนา SMEs เช่น หลักสูตร SME Spring Up ของไทย หรือ การทำ Digital Marketing ไปนำเสนอกับกลุ่มผู้ประกอบการ สปป.ลาว เพื่อร่วมกันขยายตลาดสู่อาเซียนด้วย

“คาดว่าการลงนามบันทึกความเข้าใจ และการประชุมหารือดังกล่าว จะช่วยในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจระหว่างไทย กับ สปป.ลาว โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs รุ่นใหม่ พร้อมทั้งจะได้ร่วมกันพัฒนากรอบความร่วมมือ และต่อยอดแนวทางที่ได้ดำเนินการไว้แล้วต่อไปด้วย”

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนจะกระชับความสัมพันธ์ และความร่วมมือกับประเทศกลุ่ม CLMV ประเทศเพื่อนบ้าน และเป็นเครือข่ายสำคัญทางเศรษฐกิจ รวมทั้งต่อยอดการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดย ครม.เศรษฐกิจ ได้เดินทางเยือนเมียนมา ในช่วงต้นปี 2560 ที่ผ่านมา รวมทั้งมีแผนจะเดินทางเยือนประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV นอกจาก สปป.ลาว ให้ครบทั้งหมดภายในปีนี้อีกด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น