ธปท.จับตาการลงทุนเอกชนยังฟื้นตัวช้า คาดดีขึ้นครึ่งปีหลัง ตอบรับอานิสงส์ส่งออกโต
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทย ไตรมาส 1/2560 ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประกาศออกมาขยายตัวร้อยละ 3.3 เนื่องจากการบริโภคภาคเอกชนดีขึ้นจากราคาสินค้าเกษตรที่ดีขึ้นทั้งจำนวนผลผลิต และรายได้เกษตรกร ขณะที่การส่งออกปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาดทั้งสินค้า และการส่งออกในตลาดหลัก โดยภาพรวมส่งออกดีขึ้นทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออก ซึ่งสินค้าส่งออกอยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ยังคงติดตามการลงทุนภาคเอกชนที่ยังฟื้นตัวไม่มากนัก ยังมีกำลังการผลิตส่วนเกิน ขณะที่การลงทุนภาครัฐยังขยายตัวได้ดี ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวไม่มาก หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่รัฐบาลมีโครงการกระตุ้นการบริโภคหลายโครงการออกมา
ส่วนกรณีที่ 4 ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายย่อย และเอสเอ็มอี เพื่อสนองนโยบายของรัฐ เพื่อลดส่วนต่างดอกเบี้ยของรายใหญ่ และรายย่อยนั้น ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของธนาคารแต่ละแห่ง ส่วนธนาคารขนาดกลาง และขนาดเล็กก็มีฐานลูกค้าเอสเอ็มอีแตกต่างจากแบงก์ใหญ่ ดังนั้น ส่วนต่างดอกเบี้ยก็จะแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม เอสเอ็มอีจะขอสินเชื่ออัตราต่ำต้องมีหลักประกันสินเชื่อ ซึ่งปัจจุบันมีข้อกฎหมายให้นำหลักประกันใหม่ เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา ทรัพย์สินคงทน และสินค้าคงคลังมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอสินเชื่อได้ และเอสเอ็มอีต้องเพิ่มช่องทางการตลาด เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ
ด้าน นายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า จีดีพี ไตรมาส 1/2560 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.3 ดีกว่าที่ ธปท.คาดไว้ แต่ยังต้องจับตาการลงทุนภาคเอกชนที่หดตัวร้อยละ 1.1 ซึ่ง ธปท. ยังคงคาดว่า การลงทุนภาคเอกชนปีนี้จะกลับมาเป็นบวก เนื่องจากการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะมีผลทำให้การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวดีขึ้นตาม
ส่วนสถานการณ์ค่าเงินบาทค่อนข้างนิ่ง โดยยังมีปัจจัยที่ ธปท.ต้องติดตาม คือ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วันที่ 14 มิถุนายนนี้ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และคาดว่า ปีนี้เฟด จะขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง ซึ่งหากเป็นไปตามที่ตลาดคาดหมายผลกระทบไม่มาก เนื่องจากรับรู้ข่าวมาตลอด