“คลัง” เผยยอดผู้ลงทะเบียนคนจนเบื้องต้นในปี 60 ผ่าน 5 หน่วยงานมี 14.1 ล้านราย สูงกว่าปีที่แล้ว 5.3 ล้านราย ผู้ลงทะเบียนสามารถตรวจสอบรายชื่อตนเองในระบบผ่าน 7 ช่องทางที่รัฐเตรียมไว้ให้ได้ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.-2 มิ.ย.นี้ กรณีที่ไม่มีชื่อในระบบ ให้นำเอกสารการลงทะเบียนที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ไปยืนยัน พร้อมทั้งให้นำบัตรประจำตัวประชาชนไปติดต่อที่หน่วยรับลงทะเบียนที่ไปลงทะเบียนไว้ภายในวันที่ 2 มิ.ย. เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้บันทึกข้อมูลใหม่ให้อีกครั้ง
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 (โครงการฯ) ระหว่างวันที่ 3 เมษายน-15 พฤษภาคม 2560 มีผู้ลงทะเบียนเบื้องต้นจำนวนประมาณ 14.1 ล้านคน ผ่าน 5 หน่วยงานรับลงทะเบียน ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน (ธ.ออมสิน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธ.กรุงไทย) สำนักงานคลังจังหวัด และสำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร มากกว่าโครงการฯ ในปี 2559 ที่มีจำนวน 8.3 ล้านคน
สำหรับขั้นตอนการดำเนินการหลังปิดโครงการรับลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย นายพรชัย กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะเปิดให้ตรวจสอบรายชื่อผู้ที่มาลงทะเบียน นำข้อมูลทั้งหมดไปตรวจสอบคุณสมบัติ และเปิดให้ตรวจผลการตรวจสอบคุณสมบัติต่อไป
ทั้งนี้ ผู้ลงทะเบียนสามารถตรวจสอบรายชื่อตัวเองในระบบการลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคมถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2560 โดยผ่านทาง 7 ช่องทาง ได้แก่ 1.เว็บไซต์ 3 เว็บไซต์ ได้แก่ www.epayment.go.th, www.mof.go.th, และ www.fpo.go.th โดยพิมพ์เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลักลงไป ระบบจะแจ้งว่ามีชื่อ หรือไม่มีชื่อในระบบการลงทะเบียน
2.Call center ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง 1359, 3.Call center ของ ธ.ก.ส. 02-555-0555, 4.Call center ของ ธ.ออมสิน 1115,
5.Call center ของ ธ.กรุงไทย 02-111-1111, 6.Call center ของกรมบัญชีกลาง 02-270-6400, และ 7.เบอร์โทร.ของสำนักงานเขตกรุงเทพมหานครทั้ง 50 เขต
อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจสอบสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ 1 ในกรณีที่ผู้ลงทะเบียนมีชื่ออยู่ในระบบแล้ว ให้รอผลการตรวจคุณสมบัติต่อไป และ 2 ในกรณีที่ผู้ลงทะเบียนไม่มีชื่ออยู่ในระบบ ให้นำเอกสารหลักฐานจากแบบฟอร์มลงทะเบียนที่เจ้าหน้าที่ฉีกให้ในวันลงทะเบียนไปยืนยัน พร้อมนำบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ลงทะเบียนไปติดต่อที่หน่วยรับลงทะเบียนที่ไปลงทะเบียนไว้ ภายในวันที่ 2 มิถุนายน 2560 เพื่อให้เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลลงในระบบ และดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติต่อไป
ทั้งนี้ ให้นำเอกสารหลักฐานดังกล่าวไปติดต่อเจ้าหน้าที่ภายในระยะเวลาที่กำหนด มิฉะนั้น ผู้ลงทะเบียนจะถูกตัดสิทธิในการได้รับสวัสดิการส่วนการตรวจสอบผลการตรวจสอบคุณสมบัติทั้ง 5 ข้อ จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2560 เป็นต้นไป ผู้ลงทะเบียนสามารถตรวจสอบว่า ตนเองมีคุณสมบัติครบถ้วนทั้ง 5 ข้อตามที่ระบุไว้ในโครงการฯ หรือไม่ ผ่านเว็บไซต์ และโทร.สายด่วนข้างต้น โดยพิมพ์ หรือแจ้งเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก
ทั้งนี้ ผลการตรวจสอบสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ 1.ในกรณีที่ผู้ลงทะเบียนผ่านคุณสมบัติ จะเป็นผู้มีสิทธิได้รับสวัสดิการตามที่รัฐกำหนด และรัฐจะดำเนินการออกบัตรสวัสดิการให้ต่อไป และ 2 ในกรณีที่ผู้ลงทะเบียนไม่ผ่านคุณสมบัติ โดยระบบจะแจ้งว่าไม่ผ่านคุณสมบัติข้อใด
เบื้องต้น หากท่านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลการตรวจสอบคุณสมบัติ สามารถโทร.สายด่วน 1359 ในเวลาราชการ เพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ หากเห็นว่าข้อมูลไม่ถูกต้องให้ติดต่อหน่วยงานรับลงทะเบียน และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2560 เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้นำไปเข้ากระบวนการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ ผู้ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติจะได้รับบัตรสวัสดิการที่ออกโดยกระทรวงการคลัง ส่วนการรับบัตรและการใช้บัตรสวัสดิการ กระทรวงการคลังจะแจ้งให้ทราบต่อไป
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 (โครงการฯ) ระหว่างวันที่ 3 เมษายน-15 พฤษภาคม 2560 มีผู้ลงทะเบียนเบื้องต้นจำนวนประมาณ 14.1 ล้านคน ผ่าน 5 หน่วยงานรับลงทะเบียน ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน (ธ.ออมสิน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ธ.กรุงไทย) สำนักงานคลังจังหวัด และสำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร มากกว่าโครงการฯ ในปี 2559 ที่มีจำนวน 8.3 ล้านคน
สำหรับขั้นตอนการดำเนินการหลังปิดโครงการรับลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย นายพรชัย กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะเปิดให้ตรวจสอบรายชื่อผู้ที่มาลงทะเบียน นำข้อมูลทั้งหมดไปตรวจสอบคุณสมบัติ และเปิดให้ตรวจผลการตรวจสอบคุณสมบัติต่อไป
ทั้งนี้ ผู้ลงทะเบียนสามารถตรวจสอบรายชื่อตัวเองในระบบการลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคมถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2560 โดยผ่านทาง 7 ช่องทาง ได้แก่ 1.เว็บไซต์ 3 เว็บไซต์ ได้แก่ www.epayment.go.th, www.mof.go.th, และ www.fpo.go.th โดยพิมพ์เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลักลงไป ระบบจะแจ้งว่ามีชื่อ หรือไม่มีชื่อในระบบการลงทะเบียน
2.Call center ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง 1359, 3.Call center ของ ธ.ก.ส. 02-555-0555, 4.Call center ของ ธ.ออมสิน 1115,
5.Call center ของ ธ.กรุงไทย 02-111-1111, 6.Call center ของกรมบัญชีกลาง 02-270-6400, และ 7.เบอร์โทร.ของสำนักงานเขตกรุงเทพมหานครทั้ง 50 เขต
อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจสอบสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ 1 ในกรณีที่ผู้ลงทะเบียนมีชื่ออยู่ในระบบแล้ว ให้รอผลการตรวจคุณสมบัติต่อไป และ 2 ในกรณีที่ผู้ลงทะเบียนไม่มีชื่ออยู่ในระบบ ให้นำเอกสารหลักฐานจากแบบฟอร์มลงทะเบียนที่เจ้าหน้าที่ฉีกให้ในวันลงทะเบียนไปยืนยัน พร้อมนำบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ลงทะเบียนไปติดต่อที่หน่วยรับลงทะเบียนที่ไปลงทะเบียนไว้ ภายในวันที่ 2 มิถุนายน 2560 เพื่อให้เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลลงในระบบ และดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติต่อไป
ทั้งนี้ ให้นำเอกสารหลักฐานดังกล่าวไปติดต่อเจ้าหน้าที่ภายในระยะเวลาที่กำหนด มิฉะนั้น ผู้ลงทะเบียนจะถูกตัดสิทธิในการได้รับสวัสดิการส่วนการตรวจสอบผลการตรวจสอบคุณสมบัติทั้ง 5 ข้อ จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2560 เป็นต้นไป ผู้ลงทะเบียนสามารถตรวจสอบว่า ตนเองมีคุณสมบัติครบถ้วนทั้ง 5 ข้อตามที่ระบุไว้ในโครงการฯ หรือไม่ ผ่านเว็บไซต์ และโทร.สายด่วนข้างต้น โดยพิมพ์ หรือแจ้งเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก
ทั้งนี้ ผลการตรวจสอบสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ 1.ในกรณีที่ผู้ลงทะเบียนผ่านคุณสมบัติ จะเป็นผู้มีสิทธิได้รับสวัสดิการตามที่รัฐกำหนด และรัฐจะดำเนินการออกบัตรสวัสดิการให้ต่อไป และ 2 ในกรณีที่ผู้ลงทะเบียนไม่ผ่านคุณสมบัติ โดยระบบจะแจ้งว่าไม่ผ่านคุณสมบัติข้อใด
เบื้องต้น หากท่านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผลการตรวจสอบคุณสมบัติ สามารถโทร.สายด่วน 1359 ในเวลาราชการ เพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้ หากเห็นว่าข้อมูลไม่ถูกต้องให้ติดต่อหน่วยงานรับลงทะเบียน และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2560 เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้นำไปเข้ากระบวนการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ ผู้ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติจะได้รับบัตรสวัสดิการที่ออกโดยกระทรวงการคลัง ส่วนการรับบัตรและการใช้บัตรสวัสดิการ กระทรวงการคลังจะแจ้งให้ทราบต่อไป