“แม็คกรุ๊ป” และบริษัทย่อย ประกาศยอดขายไตรมาส 1 ปี 2560 แตะ 1,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิกว่า 232 ล้านบาท หรือเติบโต 14.5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 จากยอดขาย และการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
นางสาวสุณี เสรีภาณุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1 ปี 2560 ยอดขายของบริษัทยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 6.6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2559 ท่ามกลางกำลังซื้อที่แผ่วลงจากไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา ตามทิศทางปกติของอุตสาหกรรม บริษัทได้รับประโยชน์จากการเติบโตของยอดขายผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าท่อนบน จากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การเปิดช่องทาง และจุดขายใหม่ในปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราการเติบโตของยอดขายต่อร้านเดิมเพิ่มขึ้นในอัตรา 0.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2560 บริษัทมีจุดจำหน่าย 883 แห่ง ลดลงจากสิ้นปี 2559 ทั้งสิ้น 14 แห่ง จากการลดจุดจำหน่ายในประเทศ 4 แห่ง และในต่างประเทศ 10 แห่ง ซึ่งเป็นไปตามแผนการปรับโปรแกรมตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ (Dealership reprogram) ที่จะมุ่งเน้นการปันทรัพยากรอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อสร้างฐานลูกค้า และสร้างแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล
“สินค้าที่บริษัทเน้นยังคงเป็นเสื้อผ้าท่อนบนที่มีแบบใหม่ๆ มีดีไซน์ที่ทันสมัย ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยในไตรมาส 1 บริษัทจัดโปรโมชันที่นำเสนอความคุ้มค่า และให้ลูกค้ารู้สึกสนุกในการชอปปิ้งซื้อสินค้า ทั้งที่หน้าร้านของเราเอง และทางช่องทางจำหน่ายออนไลน์ สำหรับสินค้าไลฟ์สไตล์ใหม่ที่วางจำหน่ายเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ได้แก่ Activewear แบรนด์ “UP” และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบรนด์ “M&C” ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี”
สำหรับในไตรมาสที่เหลือของปี 2560 บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาคอลเล็กชันใหม่ ตลอดจนสายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค โดยในไตรมาส 2 นี้ นอกเหนือจากคอลเล็กชันเสื้อฮาวาย ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีแล้ว บริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์ยีนส์คอลเล็กชันใหม่ Mc MOVE Denim ที่มีนวัตกรรมผ้ายีนส์ที่มีส่วนผสมของ Lycra และ T400 ที่ให้ความยืดหยุ่น และคืนตัวดีเยี่ยม เหมาะสำหรับทุกกิจกรรมเคลื่อนไหว พร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่คำนึงถึงไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย และยังมี Activewear คอลเล็กชันใหม่ของ UP ซึ่งจะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ชอบออกกำลังกาย ในส่วนผลิตภัณฑ์บำรุงผิว M&C บริษัทจะมีการวางจำหน่ายไลน์สินค้าใหม่ ได้แก่ สบู่ก้อน แป้งหอม และน้ำหอม เพิ่มเติมจากโลชัน และเจลอาบน้ำ ที่วางจำหน่ายในที่ร้านค้าปลีกของตนเอง และ www.mcshop.com นอกจากนี้ จะเปิดจุดจำหน่ายแบบ Pop-up store สำหรับการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างเดียวในห้างสรรพสินค้าชั้นนำเร็วๆ นี้อีกด้วย
ขณะที่ นายบัณฑิต ประดิษฐ์สุขถาวร ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินและบัญชี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในไตรมาส 1 ปี 2560 บริษัทมีกำไรสุทธิ 232 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของยอดขายและจากการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมลดลงเล็กน้อยจาก 51.8% ในไตรมาส 1 ปี 2559 เป็น 51.1% ในไตรมาส 1 ปีนี้เนื่องจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ขณะที่มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 31.9 จากร้อยละ 32.7 ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มการบริหารจัดการสินค้าคงคลังที่ดีขึ้นตามลำดับ โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2560 บริษัทมีระยะเวลาขายสินค้าสำเร็จรูปเฉลี่ยอยู่ที่ 9.1 เดือน ลดลงจาก 12.1 เดือน ณ สิ้นปี 2559
“ในปีนี้บริษัทยังคงเน้นการเติบโตของยอดขายและกำไรสุทธิจากการเปิดจุดจำหน่ายใหม่ประมาณ 20-25 แห่ง และการนำเสนอผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดต่างๆ ในครึ่งหลังของปี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการบริโภคที่ชะลอตัวลงในไตรมาส 1 ทำให้บริษัทคาดว่า ยอดขายจะเติบโตประมาณร้อยละ 10 ซึ่งลดลงจากประมาณการก่อนหน้าที่เคยคาดไว้ที่ร้อยละ 12-15 โดยคาดว่าจะมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ดีขึ้น โดยลำดับจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น และการควบคุมค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทได้ดำเนินการควบรวมโรงงานผลิตกางเกงยีนส์ 2 โรงงานในกรุงเทพฯ เข้าด้วยกัน เพื่อช่วยลดต้นทุน และค่าใช้จ่าย ตลอดจนเพื่อการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ในส่วนของธุรกิจนาฬิกาซึ่งดำเนินการโดยบริษัท ไทม์ เดคโค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (TDC) ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 51% นั้น ปัจจุบันได้มีการกำหนดกลยุทธ์การขายที่มุ้งเน้นในการบริหารประเภท และแบรนด์สินค้าให้สอดคล้องกับช่องทางการจัดจำหน่ายมากขึ้น ตลอดจนจะมีการจัดรายการส่งเสริมการขายร่วมกันมากขึ้น ภายหลังจากที่ TDC ย้ายที่ทำการมาอยู่บริเวณเดียวกันกับบริษัท และมีการใช้ Shared service ร่วมกันเพื่อบริหารค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ