ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ โชว์ผลประกอบการไตรมาสแรกโตเกิน 300% จากการรับรู้รายได้การทำธุรกิจน้ำแบบครบวงจร และธุรกิจไฟฟ้าหลังการรับโอนธุรกิจจากกลุ่ม WHA เต็มไตรมาส ขณะที่ปีนี้จะดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้าอีก 4 แห่ง ดันผลการดำเนินงานพุ่ง ชูจุดเด่นเป็นหุ้นที่เติบโตสูง และมีเสถียรภาพ
นายวิเศษ จูงวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2560 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2560 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ (ธุรกิจน้ำ) 388.0 ล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน (ธุรกิจพลังงาน) 250.8 ล้านบาท และกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้เป็นเจ้าของของบริษัทใหญ่ 272.5 ล้านบาท รวมเพิ่มขึ้น 210.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น 340.3% เมื่อเทียบกับผลดำเนินงานในไตรมาสเดียวกันปี 2559 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 61.9 ล้านบาท
เดือนมีนาคม และพฤษภาคมปี 2559 บริษัทได้ซื้อธุรกิจน้ำ และไฟฟ้าจากบริษัทในกลุ่ม WHA เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะเป็นเรือธงของกลุ่มในธุรกิจสาธารณูปโภค และพลังงาน ซึ่งส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ในปี 2559
สำหรับธุรกิจน้ำ บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากธุรกิจน้ำทุกประเภท ทั้งจากปริมาณความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าปัจจุบัน และลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มโรงไฟฟ้า และปิโตรเคมี ซึ่งเป็นลูกค้าที่มีปริมาณการใช้น้ำสูง และมีการปรับราคาการจำหน่ายน้ำดิบ และน้ำเพื่ออุตสาหกรรม และราคาการบริการจัดการน้ำเสียพิ่มขึ้น
สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้าในปีนี้ บริษัทฯ จะมีโรงไฟฟ้าที่เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ อีกจำนวน 4 แห่ง ประมาณเดือนพฤษภาคม กรกฎาคม กันยายน และพฤศจิกายน ตามลำดับ นอกเหนือจากโรงไฟฟ้า SPP ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราชชลบุรี ที่ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา โดยในการทำธุรกิจโรงไฟฟ้านั้น บริษัทฯ เป็นผู้ร่วมลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานต่างๆ กับผู้ดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าที่หลากหลาย ลักษณะการรับรู้รายได้จะรับรู้ตามสัดส่วนการลงทุนในแต่ละโครงการ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความมั่นใจว่า ธุรกิจโรงไฟฟ้าจะเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ อย่างมั่นคง
โดย ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการไฟฟ้า SPP ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และพัฒนา 7 โครงการ ตามสัดส่วนการถือหุ้น 192 เมกะวัตต์ ซึ่งปีนี้จะดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้อีกจำนวน 4 โครงการ จำนวน 130 เมกะวัตต์ และอีก 3 โครงการ จะทยอยเปิดในปี 2561-2562 และจะรับรู้รายได้จากการลงทุนไฟฟ้าครบ 542 เมกะวัตต์ ในปี 2562 จากเดิม ณ สิ้นปี 2559 บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้า 350 เมกะวัตต์
ขณะที่ธุรกิจสาธารณูปโภคนั้น มีการเติบโตที่ยั่งยืน และมีแนวโน้มรายได้เพิ่มมากขึ้นตามความต้องการลูกค้าภายในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งบริษัทฯ ได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียวเป็นให้ผู้จัดจำหน่ายน้ำดิบ น้ำเพื่ออุตสาหกรรม และให้บริหารจัดการน้ำเสียครอบคลุมพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมฯ และเขตประกอบการอุตสาหกรรมฯ ของกลุ่ม WHA ทั้งหมด
“ในส่วนของธุรกิจสาธารณูปโภคนั้น ปีนี้จะมีลูกค้าใหม่ทยอยเปิดดำเนินการ โดยเฉพาะกลุ่มโรงไฟฟ้าและกลุ่มปิโตรเคมี ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสหกรรมที่มีความต้องการใช้สาธารณูปโภคสูง นอกจากนี้ลูกค้าจากนิคมอุตสาหกรรมเหมชลบุรี 2 และจากนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด 2 จะทยอยเปิดดำเนินการอีกด้วย” นายวิเศษ กล่าว
ส่วนของการลงทุนในปี 2560 บริษัทฯ มีการลงทุนโรงไฟฟ้า 7 แห่ง ทำให้มีการใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก โดยจะเริ่มปรับลดลงในปีถัดไปหลังจากโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างทยอยดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ขณะที่บริษัทฯ จะทยอยรับรู้ผลตอบแทนจากโรงไฟฟ้าต่างๆ เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการจำหน่ายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ในเดือนเมษายน 2560 ที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ ได้รับเงินจากการระดมทุน 3,281.25 ล้านบาท ซึ่งการเสนอขายหุ้นสามัญดังกล่าวทำให้โครงสร้างเงินทุน และฐานะการเงินของบริษัทฯ มีความแข่งแกร่ง ลดภาระต้นทุนทางการเงิน และสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้แก่บริษัทฯ ซึ่งภายหลังการจำหน่ายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) บริษัทฯ ได้ดำเนินการชำระคืนหนี้ให้แก่สถาบันการเงินไปจำนวน 2,500 ล้านบาท ซึ่งทำให้อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของเจ้าของ (Net Interest-bearing Debt/Equity) ลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 0.75 เท่า
อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของ WHAUP คือ การเป็นทั้งบริษัทฯ ที่มีศักยภาพการเติบโตของผลประกอบการที่สูง ขณะเดียวกัน ก็เป็นบริษัทฯ ที่มีเสถียรภาพด้านรายได้ ทั้งนี้ เนื่องจากรูปแบบการทำธุรกิจ (Business Model) ที่มีทั้งธุรกิจสาธารณูปโภค และธุรกิจไฟฟ้า มีฐานลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำทั้งไทย และต่างชาติกว่า 700 บริษัท และมีประสบการณ์มาอย่างยาวนานโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจสาธารณูปโภคที่จะสามารถต่อยอดทางธุรกิจออกไปได้หลากหลาย ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ และในด้านพื้นที่การจัดการ