ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น งวดนี้มีรายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วม และกิจการร่วมค้าอยู่ที่ 1,365.1 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 81 ล้านบาท ด้าน Group CEO “จรีพร จารุกรสกุล” มั่นใจรายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรทั้งปี มีแนวโน้มแตะระดับ 1.3 หมื่นล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมระบุมียอดขายที่ดินรอรับรู้รายได้กว่า 867 ไร่ ส่งผลให้รายได้จากธุรกิจนิคมเติบโตกว่า 70% ขณะที่ธุรกิจการให้บริการด้านสาธารณูปโภค มีแนวโน้มการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ส่วนธุรกิจโรงไฟฟ้า เติบโตอย่างน้อย 40%
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group ผู้นำในการให้บริการแบบครบวงจรที่ครอบคลุม 4 ธุรกิจ ได้แก่ ลอจิสติกส์ อสังหาริมทรัพย์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน และการให้บริการด้านดิจิตอล เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2560 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วม และกิจการร่วมค้า 1,365.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิอยู่ที่ 81 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนประมาณ 39.1 ล้านบาท สาเหตุการปรับตัวลดลงของกำไรในไตรมาส 1/2560 เนื่องจากในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ มีการโอนที่ดินเพียง 15 ไร่ อีกทั้งโรงไฟฟ้าเก็คโค่-วัน ในธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทมีการหยุดซ่อมบำรุงตามแผน (Planned Major Maintenance) อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจสาธารณูปโภค และอื่นๆ ยังมีการเติบโตที่ดี
“แนวโน้มของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมดีขึ้น โดยยอดขายที่ดินในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2560 อยู่ที่ 514 ไร่ โดยได้ขายที่ดินลอตใหญ่ให้แก่กลุ่มคอนทิเนทัล (Continental) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยางรถยนต์รายใหญ่ของโลกของประเทศเยอรมัน จำนวน 473 ไร่ ซึ่งมีผลทำให้ยอดที่ดินรอการโอน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 สูงถึง 867 ไร่ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ ส่งผลให้รายได้จากธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมน่าจะเติบโตกว่า 70% ส่วนธุรกิจไฟฟ้าที่มีการซ่อมบำรุงนั้น เป็นไปตามแผนการซ่อมบำรุง ดังนั้น คาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าในไตรมาสที่เหลือจะสูงกว่าไตรมาสที่ 1 ของปี 2560 อย่างแน่นอน เนื่องจากจะไมมีแผนที่จะปิดซ่อมบำรุง รวมทั้งจะมีโรงไฟฟ้าในรูปแบบ SPP อีก 4 โรงที่เริ่มเปิดดำเนินการในเชิงพาณิชย์ตั้งแต่เดือน พ.ค.-พ.ย. กว่า 128.8 เมกะวัตต์” นางสาวจรีพร กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการทั้งปีนี้ เชื่อมั่นว่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย โดยจะมีรายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนแตะระดับที่ 13,000 ล้านบาท และผลประกอบการกำไรที่น่าพอใจ บริษัทฯ มีความตั้งใจที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring income) เพิ่มมากขึ้น โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าธุรกิจสาธารณูปโภคจะเติบโตรายได้ไม่ต่ำกว่า 10% จากปริมาณลูกค้าในนิคมที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มโรงไฟฟ้า และปิโตรเคมี ซึ่งมีการใช้น้ำในปริมาณมาก เช่นเดียวกันกับธุรกิจโรงไฟฟ้าที่น่าจะเติบโตไม่น้อยกว่า 40% จากการที่โรงไฟฟ้าที่จะ COD อีก 4 แห่งดังกล่าวข้างต้น
ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อลอจิสติกส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจที่ก่อให้เกิดรายได้ประจำ น่าจะเติบโตพื้นที่เช่ากว่า 200,000 ตารางเมตร โดยในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา มีลูกค้าสนใจเช่า โดยมีผู้เช่าเพิ่มอีกประมาณ 25,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ วางแผนขายทรัพย์สินเข้ากอง WHART และ HREIT รวมพื้นที่เช่าประมาณ 140,000 ตารางเมตร ดังนั้น ตั้งเป้าพื้นที่เช่าสุทธิเติบโตกว่า 25%
“ต่อจากนี้ในแต่ละปีเรามีความตั้งใจที่จะขายทรัพย์สินเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์น้อยกว่าที่เราจะขยายพื้นที่เช่าเพิ่ม ดังนั้น สัดส่วนรายได้ค่าเช่า และค่าบริการจะมากขึ้น” นางสาวจรีพร กล่าว
นอกจากนี้ เมื่อต้นเดือน เม.ย.2560 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการนำบริษัทในเครือ คือ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ WHAUP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่งให้ผลโครงสร้างทางการเงินของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะสามารถลดดอกเบี้ยจ่ายได้ 700 ล้านบาทในปีนี้ และสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนสุทธิลงมาอยู่ที่ประมาณ 1.3 เท่า