นโยบายประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาลปัจจุบัน ไม่ได้สร้างการตื่นตัวเพียงแค่หน่วยงานราชการ และกลุ่มองค์กรรัฐวิสาหกิจเท่านั้น แต่ยังสร้างการตื่นตัวให้แก่กลุ่มธุรกิจ และอุตสาหกรรมโดยรวมในประเทศ ซึ่งมาพร้อมกับการเกิดขึ้นของกลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัปใหม่ๆ ที่โดยมากให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรม เพื่อรองรับการบริการด้านต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน และสะดวกสบายในการใช้ชีวิตมากขึ้น
ขณะที่กลุ่มบริษัท และอุตสาหกรรมหลักในธุรกิจต่างๆ ก็ได้หันมาให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า ทั้งในด้านการขาย การบริการ และยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มในตัวสินค้าด้วย จากกระแสดังกล่าวทำให้นวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ๆ กลายมาเป็นเครื่องสำคัญในการทำตลาดในปี 2560 โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทอสังหาฯ ทั้งรายใหญ่ และรายกลาง ตลอดจนรายเล็ก ต่างชูจุดเด่น ด้านนวัตกรรมใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการทำตลาด
“ในฐานผู้นำตลาดอสังหาฯ ทั้งในด้านยอดขาย รายได้ และวอรูมในการผลิต บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) จึงเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาสินค้า และบริการรอบด้าน เพื่อสร้างความพึงพอใจ และสร้างมูลค่าเพิ่มในตัวสินค้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าสูงสุด” นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าว
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พฤกษาฯ ให้ความสำคัญกับการปรับปรุงสินค้า และบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาฯ โดยในปี 2560 บริษัท ได้วางแผน และกลยุทธ์ด้านการตลาด ภายใต้ “กลยุทธ์ Pruksa 4.0” ซึ่งพฤกษาฯ ให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมใหม่ๆ ใน 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.Smart-Product พัฒนาสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น การออกแบบฟังก์ชันการใช้งานภายในบ้านให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ลดการใช้พลังงานช่วยให้ลูกค้าประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้มากยิ่งขึ้น 2.Smart-Marketing เน้นการทำตลาดโดยใช้ Digital Marketing เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในยุคดิจิตอล 3.Smart-Home Application พัฒนา Home Service Application ที่รวบรวมบริการต่างๆ แบบครบวงจร นอกเหนือจากบริการเรื่องบ้าน เช่น บริการล้างรถ เสริมสวย ซักรีด เป็นต้น
4.Smart-Construction นำนวัตกรรมการก่อสร้างที่ทันสมัยระดับโลกมาใช้ในการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็น “นวัตกรรมพฤกษา พรีคาสต์” จากเยอรมนี ที่ทันสมัยที่สุดในโลก ทำให้ได้บ้านที่แข็งแรงทนทานปลอดภัย “นวัตกรรมการก่อสร้างระบบอุตสาหกรรมคุณภาพ Pruksa REM” (Real Estate Manufacturing) ซึ่งจะแบ่งการก่อสร้างเป็นลำดับขั้นตอนโดยใช้ช่างผู้ชำนาญการในงานแต่ละประเภท สามารถควบคุมคุณภาพในแต่ละขั้นตอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายปิยะ กล่าวต่อว่า ในฐานนะที่พฤกษาฯ เป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมการก่อสร้างแบบสำเร็จรูป โดยเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯ รายแรกในประเทศไทย ที่นำเทคโนโลยีพรีคาสต์มาใช้ ตั้งแต่ปี 2547 ทำให้มีประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นด้วย ข้อดีของเทคโนโลยีพรีคาสต์ ที่สามารถควบคุมคุณภาพการผลิตได้ทุกขั้นตอน และลดขยะการก่อสร้างที่หน้างาน ทำให้พฤกษา มีการขยายโรงงานเพิ่มขึ้น
จนปัจจุบันมีโรงงานพฤกษา พรีคาสท์ รวม 7 โรงงาน ทำการผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปเพื่อใช้ในการก่อสร้างบ้านในโครงการต่างๆ ของพฤกษา ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม โดยบ้านที่ก่อสร้างด้วยระบบพฤกษา พรีคาสท์ มีข้อดี และมีประโยชน์ต่อลูกค้ามากกว่าเมื่อเทียบกับระบบการก่อสร้างแบบเดิม ไม่ว่าจะเป็นด้านพื้นที่ใช้สอย เนื่องจากบ้านใช้ผนังรับน้ำหนัก จึงไม่มีเสา-คาน ทำให้มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น สามารถจัดวางเฟอร์นิเจอร์ได้ลงตัวยิ่งขึ้น
ด้านความแข็งแรงทนทาน สามารถต้านทานแรงลม และแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ป้องกันความร้อน และทนไฟไหม้ได้มากกว่า 2 ชั่วโมง ป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดีกว่า แม้ว่าในปัจจุบันจะมีผู้ประกอบการหลายรายเริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีพรีคาสต์ แต่ด้วยประสบการณ์ของพฤกษา ที่นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ยาวนานกว่า 13 ปี จึงได้มีการพัฒนา และปรับปรุงคุณภาพในการผลิตชิ้นงานให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่า จะได้รับมอบบ้านที่ดีที่สุดจากนวัตกรรมที่ทันสมัยระดับโลกที่พฤกษา เรียลเอสเตท สร้างสรรค์ขึ้น
นอกจากระบบพรีคาสต์ จะเป็นนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยด้านการพัฒนาสินค้า และยังเข้ามาช่วยลดปัญหาเรื่องวิกฤตแรงงาน-ภาคธุรกิจก่อสร้าง 1 ใน 5 ของอุตสาหกรรมที่กำลังเผชิญวิกฤตขาดแคลนแรงงานต่อเนื่อง และส่อเค้า “รุนแรง” เมื่อรัฐบาลขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน “2 ล้านล้าน” มีแผนพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ รถไฟชานเมือง ฯลฯ ในระยะ 7 ปี ย่อมต้องการแรงงานจำนวนมาก
ดังนั้น ระบบ “สำเร็จรูป” หรือ พรีคาสต์ จึงถูกนำเข้ามาใช้ในการก่อสร้างบ้านอย่างจริงจังในบริษัทพัฒนาที่ดินทุกระดับ จากก่อนหน้านี้แพร่หลายในบริษัทขนาดใหญ่ โดยตลาดพรีแฟบเฉพาะในส่วนของการรับจ้างผลิตมีมูลค่า 4,000 ล้านบาทต่อปี ไม่นับรวมกลุ่มพัฒนาที่ดินรายใหญ่ “ผลิตเอง”
ทั้งนี้ แนวโน้มการขาดแคลนแรงงานเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งเวลานี้บริษัทต้องการแรงงานภาคก่อสร้างเพิ่ม 2,000 รายจากที่ใช้อยู่ 2 หมื่นราย จึงได้ลงทุนโรงงานพรีคาสต์ หรือระบบก่อสร้างสำเร็จรูป อีก 2 โรง ย่านนวนคร มูลค่า 2,200 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิต และลดการใช้แรงงานคนจาก 5 โรงงานปัจจุบันเต็มการผลิต การขยายโรงงานใหม่ทำให้มีกำลังผลิตเพิ่มขึ้น หากคำนวณจากบ้านเดี่ยว 150 ตร.ม. จะเพิ่มเป็น 1,100 หลังต่อเดือน จากเดิม 620 หลังต่อเดือน หรือรวมทาวน์เฮาส์ อยู่ที่ 740 หลังต่อเดือน ทำให้ลดการผลิตแบบ Tunnel form เป็นระบบพรีคาสต์มากขึ้น คาดรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต
“การลงทุนโรงงานพรีคาสต์ใหม่ รองรับการเติบโตของธุรกิจอสังหาฯ เฉลี่ยปีละ 25% ทำให้บริษัทสร้างบ้านได้ตามแผน ช่วยลดยอดขายที่รอรับรู้รายได้ลงด้วย เพราะสามารถส่งมอบบ้านให้ลูกค้าได้เร็วขึ้น รับรู้รายได้เข้ามาเร็วขึ้น”
ในปัจจุบัน พฤกษาฯ ถือว่ามีโรงงานพรีคาสต์ขนาดใหญ่ และมีกำลังการผลิตมาที่สุดในโลก โดยกำลังผลิตรวมทั้งหมดอยู่ที่ 5.5 ล้านตารางเมตร (ตร.ม.) แบ่งเป็นกำลังการผลิตผนัง 3 ล้าน ตร.ม. และชิ้นงานพิเศษ และพื้น 2.5 ล้าน ตร.ม. ซึ่งขณะนี้บริษัทใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 70% ทำให้ยังเหลือกำลังการผลิตไว้รองรับความต้องการในอนาคตได้อีกมาก อย่างไรก็ตาม กำลังผลิตในส่วนที่เหลือนี้ จะไม่ผลิต และขายให้แก่ผู้ประกอบการนอกกลุ่มอสังหาฯ แน่นอน
“เรากล้าการันตีว่า พฤกษาฯ มีโรงงานที่ใหญ่ และมีกำบังการผลิตมากที่สุดในโลก แม้ว่าเราจะเริ่มก่อตั้งโรงงาน และนำระบบพรีคาสต์เข้ามาใช้ในประเทศช้ากว่าที่พัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศ เพราะในประเทศที่มีการนำระบบดังกล่าวมาใช้ก่อน ต่างเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ความต้องการที่อยู่อาศัยในกลุ่มประเทศเหล่านั้นถึงเลยขีดสุดมาแล้ว แต่ในประเทศไทยยังเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาความต้องการ และการขยายตัวของตลาดยังมีอีกมากทำให้ เรามีโรงงานที่มีกำลังการผลิตสูงไว้รองรับความต้องการที่อยู่อาศัยในอนาคตได้อีกมาก” นายปิยะ กล่าว