บางจากคอร์ปอเรชั่น กวาดกำไรไตรมาสแรกปีนี้ 2,083.80 ล้านบาท ผลดีจากรายได้จากการขายและบริการเพิ่ม ผลจากราคาขายที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับเพิ่้มขึ้น ขณะที่มีกำไรขั้นต้น 4,026 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 327% จากปีก่อน ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น และค่าการกลั่นพื้นฐานที่ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 7.07 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
นายสุรชัย โฆษิตเสรีวงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บัญชีและการเงิน บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP แจ้งงบไตรมาสแรกปี 60 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,083.80 ล้านบาท ขณะที่เทียบกับ Q1/2559 เพิ่มขึ้น 1,815 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 675% เทียบกับปีก่อนที่ทำไว้ 268.89 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับ Q4/2559 เพิ่มขึ้น 1,175 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 129% เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 43,995 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากปีก่อน ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ผลจากราคาขายที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับเพิ่้มขึ้น ซึ่งปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันรวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 12% และในส่วนของธุรกิจอื่นมีรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้น
ขณะที่มีกำไรขั้นต้น 4,026 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 327% จากปีก่อน ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น และค่าการกลั่นพื้นฐานที่ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 7.07 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (Q1/2559 : 5.35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล, Q4/2559: 6.49 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) ปรับดีขึ้นจำกต้นทุนราคาน้ำมันดิบดิบที่ลดลงจากส่วนต่างราคาน้ำมันดิบเบรนด์กับราคาน้ำมันดิบดูไบ ในไตรมาสที่ปรับแคบลง ประกอบกับส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันดิบอ้างอิงในบางผลิตภัณฑ์ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมี Inventory Gain 297 ล้านบาท (Inventory Loss Q1/2559 : 1,315 ล้านบาท, Inventory Gain Q4/2559 : 897 ล้านบาท) อีกทั้งมีรายได้จากการลงทุน และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 79% เทียบกับปีก่อน
สำหรับงวดนี้ BCP มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 1,441 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อน โดยหลักเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจตลาดของบริษัทฯ และ บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด โดยหลักเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุคลากร เนื่องจากมีพนักงานเพิ่มมากขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายลดลง 30% ขณะมีอัตรากำไรจากการแลกเปลี่ยน 271 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 221% จากปีก่อน จากการที่ค่าบาทแข็งค่าในไตรมาสแรก ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 59 การอ่อนตัวขอค่าเงินเยน ทำให้ธุรกิจของกลุ่มบริษัทบีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ในญี่ปุ่นมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
นอกจากนี้ บริษัท NIDO รับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าทรัพย์สิน 113 ล้านบาท จากการถอนตัวจากแหล่งสำรวจ GURITAPSC ในประเทศอินโดนีเซีย และในไตรมาสแรกปีนี้ BCPI ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท มีกำไรจากการวัดมูลค่ายุติธรรมสุทธิของเงินลงทุนเผื่อขาย LAC (Lithium Americas Corp.) 111 ล้านบาท ซึ่งกำไรดังกล่าวจะอยู่ในงบกำไรขาดทุนแบบเบ็ดเสร็จอื่น
นายสุรชัย โฆษิตเสรีวงค์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บัญชีและการเงิน บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP แจ้งงบไตรมาสแรกปี 60 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,083.80 ล้านบาท ขณะที่เทียบกับ Q1/2559 เพิ่มขึ้น 1,815 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 675% เทียบกับปีก่อนที่ทำไว้ 268.89 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับ Q4/2559 เพิ่มขึ้น 1,175 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 129% เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ 43,995 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากปีก่อน ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ผลจากราคาขายที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับเพิ่้มขึ้น ซึ่งปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันรวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 12% และในส่วนของธุรกิจอื่นมีรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้น
ขณะที่มีกำไรขั้นต้น 4,026 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 327% จากปีก่อน ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น และค่าการกลั่นพื้นฐานที่ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 7.07 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (Q1/2559 : 5.35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล, Q4/2559: 6.49 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) ปรับดีขึ้นจำกต้นทุนราคาน้ำมันดิบดิบที่ลดลงจากส่วนต่างราคาน้ำมันดิบเบรนด์กับราคาน้ำมันดิบดูไบ ในไตรมาสที่ปรับแคบลง ประกอบกับส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันดิบอ้างอิงในบางผลิตภัณฑ์ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมี Inventory Gain 297 ล้านบาท (Inventory Loss Q1/2559 : 1,315 ล้านบาท, Inventory Gain Q4/2559 : 897 ล้านบาท) อีกทั้งมีรายได้จากการลงทุน และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 79% เทียบกับปีก่อน
สำหรับงวดนี้ BCP มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 1,441 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อน โดยหลักเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายของกลุ่มธุรกิจตลาดของบริษัทฯ และ บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด โดยหลักเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุคลากร เนื่องจากมีพนักงานเพิ่มมากขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายลดลง 30% ขณะมีอัตรากำไรจากการแลกเปลี่ยน 271 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 221% จากปีก่อน จากการที่ค่าบาทแข็งค่าในไตรมาสแรก ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 59 การอ่อนตัวขอค่าเงินเยน ทำให้ธุรกิจของกลุ่มบริษัทบีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ในญี่ปุ่นมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
นอกจากนี้ บริษัท NIDO รับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าทรัพย์สิน 113 ล้านบาท จากการถอนตัวจากแหล่งสำรวจ GURITAPSC ในประเทศอินโดนีเซีย และในไตรมาสแรกปีนี้ BCPI ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท มีกำไรจากการวัดมูลค่ายุติธรรมสุทธิของเงินลงทุนเผื่อขาย LAC (Lithium Americas Corp.) 111 ล้านบาท ซึ่งกำไรดังกล่าวจะอยู่ในงบกำไรขาดทุนแบบเบ็ดเสร็จอื่น