สคร.คาดเลื่อนขายไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ ไปเดือน ก.ย.นี้ หลัง กทพ.ขอเคลียร์ปมผลตอบแทน
นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) คาดว่า การขายหน่วยลงทุนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (ไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์) ให้กับนักลงทุนทั่วไป จะล่าช้ากว่ากำหนดเดิมที่คาดว่า จะขายได้ในเดือน พ.ค.-มิ.ย. 2560 เป็นเดือน ก.ย.นี้
ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้จัดตั้งกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ วงเงิน 1 แสนล้านบาท โดยกระทรวงการคลังได้ขอจัดตั้งกองทุนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว ระดมทุนเบื้องต้น 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนทั้งหมด และที่เหลือจะระดมทุนเพื่อนำเงินไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน หากต้องการระดมทุนมากกว่า 1 แสนล้านบาท ก็สามารถขอ ครม.เพิ่มวงเงินได้
ทั้งนี้ การขายหน่วยลงทุนกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการจัดตั้งที่มี นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน โดยให้มีการทำสัญญาโอนเงินรายได้ 45% ของทางด่วนเส้นฉลองรัฐ และทางด่วนบุรพาวิถี ที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เป็นเจ้าของให้กับกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ เป็นเวลา 30 ปี โดยจะระดมทุนขายหน่วยลงทุนกับประชาชนที่สนใจ 4.4 หมื่นล้านบาท ให้ กทพ.ไปก่อสร้างโครงการใหม่
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด กระทรวงคมนาคมได้พิจารณา และได้สั่งการให้ กทพ.ทบทวนเรื่องนี้อีกครั้งว่า มีต้นทุนสูงกว่าการกู้เงินหรือไม่ ทำให้ยังไม่สามารถเซ็นสัญญาการโอนรายได้ และขอ ครม.เห็นชอบการขายหน่วยลงทุนได้ตามที่กำหนดไว้เดิม
นายชาญวิทย์ กล่าวว่า ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าใจผิดว่า ผลตอบแทนของกองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ อยู่ที่ 8% ซึ่งผลตอบแทนที่แท้จริงต้องรอผลสำรวจความต้องการของนักลงทุน ตัวอย่างการตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เมื่อปีที่ผ่านมา เบื้องต้น คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ 6% แต่เมื่อสำรวจผลความต้องการของนักลงทุนผลตอบแทนที่แท้จริงอยู่ที่ 5.1% เป็นต้น
“ในส่วนของกระทรวงการคลังมีความพร้อมทุกอย่างแล้ว ตอนนี้เหลือแค่มีปัญหาความไม่เข้าใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมา สคร.ได้ทำความเข้าใจกับสำนักงบประมาณไปแล้วว่า การระดมทุนนี้เป็นเรื่องใหม่ ไม่สามารถเอาต้นทุนการจ่ายผลตอบแทนไปเทียบกับดอกเบี้ยเงินกู้ได้ ตอนนี้ก็ต้องรอ 2 หน่วยงาน คือ กระทรวงคมนาคม และ กทพ. ว่าจะสรุปออกมาอย่างไร หากล่าช้าไปอีกไม่สามารถขายหน่วยลงทุนได้ภายในเดือน ก.ย.นี้ คงต้องเสนอให้ฝ่ายนโยบาย คือ รัฐบาลรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้น” นายชาญวิทย์ กล่าว