บมจ.ปตท.สผ. แจงยังไม่รับเอกสารคดีฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท เหตุน้ำมั่นรั่วจากแหล่งมอนทารา ยกรายงานผลการศึกษาด้านกระทบสิ่งแวดล้อมที่ได้รับความเห็นชอบออสเตรเลีย ชี้ชัดไม่กระทบระบบนิเวศในระยะในทะเลติมอร์ พร้อมพิสูจน์ และร่วมหาข้อยุติกับทางการอินโดนีเซีย
นายสมพร ว่องวุฒิพรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP แจ้งว่า ตามที่มีข่าวทางอินโดนีเซีย ยื่นฟ้องคดีต่อศาลในประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายมูลค่า 70,000 ล้านบาท จากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลของแหล่งมอนทารา ในทะเลติมอร์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี 2552 ต่อ ปตท.สผ. และบริษัท PTTEP Australasia (Ashmore Cartier) หรือ PTTEP AA นั้น
ปตท.สผ. และ PTTEP AA บริษัทย่อยที่เป็นผู้รับสัมปทาน และเป็นผู้ดำเนินการโครงการมอนทารา ได้รับทราบข่าวเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่ ปตท.สผ. และ PTTEP AA ยังไม่ได้รับเอกสารทางคดีเกี่ยวกับการฟ้องร้องอย่างเป็นทางการ จึงยังไม่ทราบรายละเอียดของการยื่นฟ้อง และการเรียกร้องค่าเสียหายแต่อย่างใด
โดย ปตท.สผ.และ PTTEP AA ขอเรียนชี้แจงว่า นับจากเกิดเหตุการณ์นำมันรั่วไหลในโครงการมอนทารา PTTEP AA ได้ดำเนินการแก้ไขเหตุการณ์ และได้ศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจนจนได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลออสเตรเลีย ในการด้าเนินการโครงการต่อไปได้ และเมื่อรัฐบาลอินโดนีเซีย เรียกร้องให้ ปตท.สผ. และ PTTEP AA ชดใช้ค่าเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ปตท.สผ. และ PTTEP AA ได้ประสานงานกับรัฐบาลอินโดนีเซียมาโดยตลอด เพื่อร่วมกันหาข้อยุติ และพิสูจน์ความเสียหาย แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้
ทั้งนี้ ปตท.สผ. และ PTTEP AA มีความเชื่อมั่นในผลการศึกษาวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งควบคุมโดยหน่วยงานรัฐบาลของประเทศออสเตรเลียว่า คราบน้ำมันที่เกิดจากเหตุการณ์มอนทารา ไม่ได้แพร่เข้าสู่ชายฝั่งของประเทศอินโดนีเซีย หรือออสเตรเลีย และไม่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศ และสิ่งแวดล้อมในระยะยาวในทะเลติมอร์
ปัจจุบัน บริษัท PTTEP Netherlands Holding Coöperatie U.A. (บริษัทย่อยของ ปตท.สผ.) มีโครงการที่ดำเนินงานอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย 1 โครงการ คือ โครงการ Natuna Sea A โดยถือสัดส่วนร้อยละ 11.5 ซึ่งมีปริมาณการขายก๊าซธรรมชาติทั้งหมดประมาณ 224 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และปริมาณการขายน้ำมันดิบเฉลี่ย ณ ปัจจุบันประมาณ 1,200 บาร์เรลต่อวัน โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 1 ของปริมาณการขายทั้งหมดของบริษัท
ทั้งนี้ หากมีความคืบหน้าที่ส้าคัญ ปตท.สผ. จะรายงานให้ทราบต่อไป