สัปดาห์ที่ผ่านมา (1-4 พ.ค.) ราคาทองคำเผชิญต่อแรงกดดันต่อเนื่อง และมีแนวโน้มปิดปรับตัวลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน จากแรงกดดันจากปัจจัยเหล่านี้
ปัจจัยแรก คือ พรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน ของสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ในเรื่องการจัดสรรงบใช้จ่ายสำหรับหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ จนถึงวันที่ 30 ก.ย. ซึ่งช่วยให้หน่วยงานราชการของสหรัฐฯ ไม่ต้องปิดทำการ (Shut down) ประเด็นดังกล่าวกดดันทองคำที่อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ปัจจัยที่สอง ได้แก่ การแข็งค่าของดอลลาร์โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจาก นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐฯ แสดงความเห็นต่อความเป็นไปได้ในการออกจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวมาก
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ในช่วงต้นสัปดาห์ราคาทองคำจะได้รับแรงกดดันแต่ยังคงสามารถทรงตัวเหนือแนวรับสำคัญที่ 1,250 ดอลลาร์สหรัญต่อออนซ์ ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันได้ โดยได้รับแรงหนุนยอดขายรถยนต์เดือน เม.ย.ของ 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ ต่างก็รายงานยอดขายที่ร่วงลงในเดือน เม.ย. ส่งผลให้เกิดการคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ปีนี้ในสหรัฐฯ อาจต่ำกว่าปีที่แล้ว และอาจเป็นยอดขายรายปีที่ร่วงลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2009
ก่อนที่ราคาทองคำจะปรับตัวลงแรงในคืนวันพุธ โดยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยที่ 3 คือ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดโดยเฟด ลงมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค.ตามคาด
แถลงการณ์ระบุว่า ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง และมองว่าเศรษฐกิจในไตรมาสแรกที่ชะลอตัวจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ท่าทีดังกล่าวบ่งชี้ว่าเฟดยังมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ปัจจัยดังกล่าวหนุนให้ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 สัปดาห์บริเวณ 1,236.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
นอกจากนี้ ยังคงต้องติดตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส รอบที่ 2 ที่มีกำหนดจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 7 พ.ค.นี้ ซึ่งโพลของเซวิปอฟ/อิปโซส/โซปรา สเตอเรีย ที่ได้รับการเผยแพร่ในเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์เลอ มอนด์ คาดว่า นายเอ็มมานูเอล มาครง ซึ่งเป็นนักการเมืองสายกลาง จะชนะการเลือกตั้ง และก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนต่อไป โดยชัยชนะของนายมาครง อาจจะกดดันทองคำที่อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แต่อาจจะหนุนสกุลเงินยูโรให้พุ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อราคาทองคำในอีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ดี ตลาดตอบรับการคาดการณ์ดังกล่าวไปแล้วพอสมควร จึงคาดว่าจะไม่ส่งผลต่อราคาทองคำเท่ากับการเลือกตั้งรอบแรก ทั้งนี้ จะเริ่มรับรู้ผลคะแนนตั้งแต่ช่วงกลางดึกของคืนวันอาทิตย์ และคาดว่าอาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำตั้งแต่เปิดตลาด ดังนั้น แนะนำนักลงทุนจับตาสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิดเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาลงทุนทองคำ
ปัจจัยแรก คือ พรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน ของสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ในเรื่องการจัดสรรงบใช้จ่ายสำหรับหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ จนถึงวันที่ 30 ก.ย. ซึ่งช่วยให้หน่วยงานราชการของสหรัฐฯ ไม่ต้องปิดทำการ (Shut down) ประเด็นดังกล่าวกดดันทองคำที่อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ปัจจัยที่สอง ได้แก่ การแข็งค่าของดอลลาร์โดยได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจาก นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐฯ แสดงความเห็นต่อความเป็นไปได้ในการออกจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาวมาก
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ในช่วงต้นสัปดาห์ราคาทองคำจะได้รับแรงกดดันแต่ยังคงสามารถทรงตัวเหนือแนวรับสำคัญที่ 1,250 ดอลลาร์สหรัญต่อออนซ์ ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันได้ โดยได้รับแรงหนุนยอดขายรถยนต์เดือน เม.ย.ของ 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ ต่างก็รายงานยอดขายที่ร่วงลงในเดือน เม.ย. ส่งผลให้เกิดการคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ปีนี้ในสหรัฐฯ อาจต่ำกว่าปีที่แล้ว และอาจเป็นยอดขายรายปีที่ร่วงลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2009
ก่อนที่ราคาทองคำจะปรับตัวลงแรงในคืนวันพุธ โดยได้รับแรงกดดันจากปัจจัยที่ 3 คือ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดโดยเฟด ลงมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค.ตามคาด
แถลงการณ์ระบุว่า ตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง และมองว่าเศรษฐกิจในไตรมาสแรกที่ชะลอตัวจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ท่าทีดังกล่าวบ่งชี้ว่าเฟดยังมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ปัจจัยดังกล่าวหนุนให้ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 สัปดาห์บริเวณ 1,236.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
และทันทีที่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 211,000 ตำแหน่งในเดือน เม.ย. หลังจากเพิ่มขึ้นเพียง 79,000 ตำแหน่ง ในเดือน มี.ค. ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 4.4% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค.2007 หลังจากอยู่ที่ระดับ 4.5% ในเดือน มี.ค. ก็กดดันสัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (5 พ.ค.) เนื่องจากความแข็งแกร่ง และการดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
เพราะตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งเป็นปัจจัยยสนุบสนุนที่สำคัญในการการเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในช่วงที่เหลือของปีนี้
นอกจากนี้ ยังคงต้องติดตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส รอบที่ 2 ที่มีกำหนดจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 7 พ.ค.นี้ ซึ่งโพลของเซวิปอฟ/อิปโซส/โซปรา สเตอเรีย ที่ได้รับการเผยแพร่ในเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์เลอ มอนด์ คาดว่า นายเอ็มมานูเอล มาครง ซึ่งเป็นนักการเมืองสายกลาง จะชนะการเลือกตั้ง และก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสคนต่อไป โดยชัยชนะของนายมาครง อาจจะกดดันทองคำที่อยู่ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย แต่อาจจะหนุนสกุลเงินยูโรให้พุ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อราคาทองคำในอีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ดี ตลาดตอบรับการคาดการณ์ดังกล่าวไปแล้วพอสมควร จึงคาดว่าจะไม่ส่งผลต่อราคาทองคำเท่ากับการเลือกตั้งรอบแรก ทั้งนี้ จะเริ่มรับรู้ผลคะแนนตั้งแต่ช่วงกลางดึกของคืนวันอาทิตย์ และคาดว่าอาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำตั้งแต่เปิดตลาด ดังนั้น แนะนำนักลงทุนจับตาสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิดเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาลงทุนทองคำ