เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป ย้ำการปล่อยสินเชื่อลูกค้ามีการเช็กข้อมูล และรายละเอียดเอการ สถานะอย่างเข้มงวดด้วยผู้ที่ได้มีการรับรองจาก ก.ล.ต.ทุกราย ผู้บริหารเผยกรณีที่มีบุคคลได้กล่าวอ้างการปล่อยกู้ให้กับ “โอริออน ดีเวลลอปเม้นท์” ไม่โปร่งใส แจงกระบวนการพิจารณาให้กู้ของบริษัทดำเนินขึ้น ภายใต้ข้อกฎหมายการกู้ยืมเงิน การจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทุกอย่าง และบริษัทได้แจ้งให้ผู้กู้แก้ปัญหาภายในให้เรียบร้อยก่อน โดยสถานะปัจจุบันได้ระงับการให้กู้เงินก้อนที่เหลือแล้ว
นางสาวสุกัญญา สุขเจริญไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชีย แคปปิตอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ACAP เปิดเผยถึงกรณีที่มีบุคคลได้กล่าวอ้างถึงบริษัทฯ ว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล่อยสินเชื่อแบบไม่โปรงใสนั้น บริษัทฯ ขอยืนยันว่า การดำเนินการปล่อยกู้ของบริษัทนั้น บริษัทจะให้ลูกค้าส่งข้อมูล และเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อดำเนินการตรวจสอบสถานะของลูกค้า โดยตรวจสอบยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อตรวจสอบข้อมูลปัจจุบันของผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทลูกค้า ข้อมูลของผู้ถือหุ้นของบริษัทลูกค้า บริษัทฯ จะตรวจสอบความถูกต้องของหลักประกัน และให้ความสำคัญต่อหลักประกันว่า ต้องมีมูลค่าคุ้มกับการให้วงเงินสินเชื่อ
"คาดพอร์ทสินเชื่อปีนี้เติบโตตามเป้าไม่น้อยกว่า 6,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่กว่า 5,000 ล้านบาท เผยแนวโน้มครึ่งปีหลังภาพรวมสินเชื่อจะดีกว่าในครึ่งปีแรก ส่วนการลงทุนร่วมธุรกิจกับพันธมิตรในต่างประเทศ คาดจะเห็นความชัดเจนภายในปลายปีนี้ แนะนักลงทุนตรวจสอบข้อมูลและความเสี่ยงก่อนตัดสินลงทุน"
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ให้บริษัทประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่อยู่ในรายชื่อที่ ก.ล.ต.รับรองเป็นผู้ทำการประเมินมูลค่าทรัพย์สินของลูกค้าทุกราย เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาปล่อยวงเงินสินเชื่อ ซึ่งมั่นใจได้ว่าบริษัทดังกล่าวดำเนินการอย่างรอบคอบแน่นอน
“การอนุมัติวงเงินสินเชื่อของบริษัทจะพิจารณาโดยคณะกรรมการในรายละเอียด และอนุมัติวงเงินสินเชื่อตามระเบียบที่บริษัทฯ ได้กำหนดไว้ เมื่อลูกค้าได้รับการพิจารณาการอนุมัติสินเชื่อแล้ว บริษัทฯ จะนัดหมายให้ลูกค้ามาลงนามในสัญญากู้เงิน, สัญญาค้ำประกัน, สัญญาจำนำหุ้น, และสัญญาจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่เป็นหลักประกัน โดยการจดทะเบียนจำนองที่ดิน ณ สำนักงานที่ดินถูกต้องโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งบริษัทฯ ถือเป็นขั้นตอน และวิธีปฏิบัติในการปล่อยสินเชื่อกับลูกค้าทุกราย” นางสาวสุกัญญา กล่าว
ส่วนในกรณีของ บริษัท โอริออน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ที่บริษัทฯ อนุมัติปล่อยสินเชื่อนั้น ได้มีนายเฑียร คล้ายมาลากุณ กรรมการผู้มีอำนาจทำสัญญากู้เงิน วงเงินสินเชื่อ 300 ล้านบาท โดยผู้กู้ได้รับเงินในวันทำสัญญา 115 ล้านบาท ส่วนเงินกู้ที่เหลือจะจ่ายตามงวดงานก่อสร้างในแต่ละงวด กำหนดชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมดคืนแก่บริษัท และนายเฑียร คล้ายมาลากุณ ได้ทำสัญญาค้ำประกัน เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2559 วงเงินค้ำประกัน 300 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นของ บริษัท โอริออน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ทำสัญญาจำนำหุ้นเพื่อค้ำประกันวงเงินตามสัญญากู้เงิน ประกอบกับจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรี สาขาบางละมุง เป็นโฉนดที่ดิน รวม 7 โฉนด รวมเนื้อที่ 2-0-43 ไร่ ซึ่งมีบริษัท โอริออน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ และเป็นที่ตั้งโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อเป็นหลักประกันในการกู้เงิน
โดยหลักประกันที่จดจำนองไว้ บริษัทได้ทำการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2559 มีมูลค่า ณ วันสำรวจ 234,680,000 บาท มูลค่าเมื่อแล้วเสร็จ 100% อยู่ที่ 1,278.23 ล้านบาท หลังจากทำสัญญากู้เงินแล้ว ผู้กู้ได้ทำการก่อสร้างคอนโดมิเนียม เบิกค่าก่อสร้างตามงวดงานจากบริษัทฯ รวม 1 งวด เป็นเงิน 7,490,000 บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างอาคารคอนโดมิเนียม
ส่วนในกรณีที่กรรมการของบริษัท โอริออน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้แจ้งแก่บริษัทฯ ว่า มีกลุ่มบุคคลได้ปลอมแปลงเอกสารไปจด
ทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทผู้กู้ รวมทั้งเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการ ซึ่งมิได้รู้เห็น และได้ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลดังกล่าว โดยได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดพัทยา ขอให้ไต่สวนฉุกเฉินเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่ง คุ้มครองมิให้ผู้อื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวกับผู้กู้ ซึ่งศาลได้มีคำสั่งอนุญาตตามที่ผู้กู้ยื่นคำร้องต่อศาล และอยู่ระหว่างการนำคำสั่งศาลไปดำเนินการจดทะเบียนต่อนายทะเบียน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า บริษัทฯ จึงได้แจ้งระงับการเบิกเงินส่วนงวดงานที่เหลือ และกำชับให้นายเฑียร คล้ายมาลากุณ ไปแก้ไขปัญหาระหว่างผู้ถือหุ้นของบริษัทผู้กู้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่บริษัทฯ ปล่อยสินเชื่อให้แก่บริษัทผู้กู้ และเป็นเรื่องภายในผู้ถือหุ้นของบริษัทผู้กู้ที่บริษัทฯ มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
“บริษัทฯ ขอชี้แจงเพิ่มเติมว่า การทำสัญญากู้เงิน และสัญญาอื่นๆ โดยเฉพาะการจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ต้องจดต่อเจ้าพนักงานที่ดินตามกฎหมาย เป็นการทำนิติกรรมที่เกิดขึ้น และมีผลตามกฎหมาย โดยเป็นการทำสัญญาก่อนจะมีการโต้แย้งระหว่างผู้ถือหุ้นของบริษัทผู้กู้ และบริษัทฯ ในฐานะผู้ให้กู้ สามารถบังคับชำระหนี้ตามสัญญาจากผู้กู้ และผู้ค้ำประกัน รวมทั้งหลักประกัน คือ ที่ดินพร้อมคอนโดมิเนียม ซึ่งมีมูลค่ามากกว่ายอดหนี้ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิ์โดยชอบด้วยกฎหมาย” นางสาวสุกัญญา กล่าว