“ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น” เผยความพร้อมทั้ง 4 โครงสร้างธุรกิจ หากรัฐเปิดระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก คาดเม็ดเงินลงทุนสะพัดไม่น้อยกว่า 1.55 ล้านล้านบาท ทุ่มงบลงทุน 7,300 ล้านบาท ทั้งต่อยอดงานที่ค้างอยู่ และขยายงานใหม่ ปรับเป้ารายได้เน้นรายได้ประจำเนื่องจากมี Ebitda margin ดีกว่า
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA กล่าวว่า บริษัทมีความพร้อมในการรองรับหากรัฐบาลมีการเปิดระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ (Eastern Economic Corridor : EEC ) ซึ่งจะเกิดประโยชน์ขึ้นอย่างมหาศาลทั้งประเทศไทยตัวบริษัทเอง โดยเฉพาะในส่วนของงานที่เกี่ยวเนื่องกับการให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่มีความจำเป็นต่อการขนส่งคมนาคม ได้แก่ ถนนสายหลักและสายรอง, รถไฟฟ้าความเร็วสูง, รถไฟทางคู่, หรือการขนส่งทางอากาศ และการขนถ่ายสินค้าทางเรือ ซึ่งบริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมการในการวางแผนงานการขยายตัวของระบบลอจิสติกส์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ขณะเดียวกัน ในส่วนของภาคนิคมอุตสาหกรรมที่จะทยอยเกิดขึ้นตามมาเพื่อรองรับแผนการลงทุนในระยะยาวจากทั้งต่างประเทศ และภายในประเทศ ซึ่งประเมินว่าจะมีเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนไม่น้อยกว่า 1.55 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะในส่วนของการลงทุนจากจากนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุนด้านการตั้งโรงงานในประเทศไทย บนพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเกิดขึ้น สอดคล้องกับความต้องการใช้พลังงาน และสาธารณูปโภคพื้นฐานที่บริษัทเตรียมจะลงทุนเพิ่มขึ้นตามในอนาคตด้วย
นอกจากนี้ ในส่วนของดิจิตอลแพลตฟอร์มที่คาดว่า จะมีความต้องการใช้งานจำนวนมากในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นด้านโทรคมนาคม ไฟเบอร์ออปติก หรือแม้กระทั่งดิจิตอลพาร์ก หรือคลัสเตอร์ต่างๆ ตลอดจนถึงดาต้า เซอร์วิส เซ็นเตอร์ เพื่อรองรับการลงทุนบนพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
สำหรับแผนการลงทุนทั้งใน และต่างประเทศของบริษัทฯ ในปีนี้ โดยวางงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 7,300 ล้านบาท ใน 4 โครงสร้างธุรกิจของบริษัท ได้แก่ ในส่วนของ ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จะมีการลงทุนก่อสร้างอาคาร Built-to-Suit เพื่อรองรับความต้องการของธุรกิจลอจิสติกส์ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศไทย และในพื้นที่ประเทศอินโดนีเซีย ขณะที่ในส่วนของนิคมอุตสาหกรรมมีการขยายการลงทุนเพิ่มในประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานไฟฟ้านั้น คาดว่าจะมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเสร็จเรียบร้อย จำนวน 4 โรง และขยายการให้บริการด้านระบบสาธารณูปโภคในส่วนของพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่เข้าไปลงทุนทั้งใน และต่างประเทศด้วย ด้านธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ที่มีการก่อสร้างต่อเนื่องจากปี 2559 เป็นต้นมานั้น คาดว่าจะสามารถแล้วเสร็จได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 และจะเริ่มทดสอบระบบ และใช้งานได้ภายในไตรมาสที่ 4/2560
“ประเมินรายได้ปีนี้จะมีการเพิ่มสัดส่วนของรายได้ประจำมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนงานขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้ายอดขายที่ดินในปีนี้ไว้ที่ประมาณ 1,400 ไร่ และคาดว่าจะสามารถขายโอนได้ไม่น้อยกว่า 1,300 ไร่ ในทางกลับกัน ส่วนของการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และสิทธิการเช่า WHA REIT จะมีการขายน้อยลง เพื่อที่จะเก็บสินทรัพย์ที่มีอยู่เป็นค่าเช่า เพื่อให้รายได้ประจำเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่ารายได้ในปีนี้จะไม่โดดเด่นเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ว่าอัตราการทำกำไรจะดีขึ้น เพราะบริษัทฯ จะเน้นสัดส่วนของรายได้ประจำ เนื่องจากมี Ebitda margin ดีกว่า”