เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ โชว์ศักยภาพการเป็น First Mover พร้อมเปิด “ศูนย์รวมการเก็บและกระจายสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์” (LCL) แห่งแรกในท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี พื้นที่ 6,000 ตร.ม. เพื่อให้บริการรวมสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์ก่อนขนย้ายขึ้นเรือให้แก่ผู้ส่งออกรายเล็กที่ส่งสินค้าไม่เต็มตู้ ตั้งเป้ารายได้ทั้งปี 60 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการส่งออกสินค้าแบบไม่เต็มตู้ (LCL) ในปีที่ผ่านมา มีประมาณ 200,000 ตู้คอนเทนเนอร์ เติบโตเฉลี่ยกว่าปีละ 5%
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้นำธุรกิจให้บริการลอจิสติกส์ภาคพื้นดินอย่างครบวงจร เปิดเผยถึงความคืบหน้าของ “ศูนย์รวมการเก็บและกระจายสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์” (Less Container Load Freight Consolidation Hub : LCL) ว่า พร้อมเปิดให้บริการแล้ว ภายหลังจากที่บริษัทฯ ได้เดินเรื่องขอใบอนุญาตสถานที่ตรวจ และบรรจุสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อการส่งออกจากกรมศุลกากร และได้รับใบอนุญาตเป็นที่เรียบร้อย โดยบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการรายแรกที่ให้บริการดังกล่าวภายในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ซึ่งตั้งอยู่ในเขตปลอดอากร (Free Zone) โดยคาดว่าลูกค้าจะทยอยนำของเข้าคลังสินค้าได้ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยใช้พื้นที่ตรงคลังสินค้าเดิมที่ปิดปรับปรุง ซึ่งมีขนาดพื้นที่ 6,000 ตารางเมตร จึงไม่มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนเพิ่มเติม
โดยกลุ่มเป้าหมายหลักของผู้ใช้บริการ LCL คือ ตัวแทนนำเข้าส่งออกรายใหญ่ที่เป็นผู้รวบรวมสินค้า (Consolidator) จากหลากหลายผู้ผลิตในประเทศ กลุ่มเป้าหมายรอง ได้แก่ ตัวแทนนำเข้าส่งออกสินค้ารายเล็กที่ส่งออกสินค้าจำนวนน้อย และต้องการใช้บริการรวมสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์ก่อนขนย้ายขึ้นเรือขนส่งสินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งภาพรวมยอดการส่งออกสินค้าแบบ LCL สูงถึง 200,000 ตู้ต่อปี และรายได้ค่าบริการต่อตู้ค่อนข้างสูงประมาณ 5,500-6,000 บาทต่อตู้ เนื่องจากเป็นงานที่ต้องอาศัยการบริหาร และจัดการที่ดี เพื่อความถูกต้อง และแม่นยำในการรวมรวมสินค้าจากผู้ส่งออกหลายราย
ทั้งนี้ โครงการศูนย์ LCL ท่าเรือแหลมฉบัง จะเพิ่มทางเลือก และความสะดวกให้กับผู้ส่งออกเป็นอย่างมาก ช่วยประหยัดทั้งเวลา และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับกิจกรรมลอจิสติกส์ เนื่องจากศูนย์รวมตู้ตั้งอยู่ภายในเขตพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นท่าเรือปลายทางที่ผู้ส่งออกส่วนใหญ่ใช้บริการ ปัจจุบันมีพื้นที่เปิดบริการศูนย์ LCL เพียง 2 แห่ง คือ ที่ท่าเรือกรุงเทพ (ท่าเรือคลองเตย) และที่ Inland Container Depot หรือ ICD ที่ลาดกระบัง ซึ่งตู้ LCL ส่วนใหญ่ก็จะถูกลากมาเพื่อรอขึ้นเรือขนส่งสินค้าที่ท่าเรือแหลมฉบัง
“เรามีนโยบายเป็น First Mover ที่ต้องการบุกเบิกธุรกิจ หรือเข้าไปรุกธุรกิจในพื้นที่ต่างๆ เป็นรายแรก เช่น การเปิดศูนย์ LCL ซึ่ง JWD เป็นรายแรกที่เปิดให้บริการในท่าเรือแหลมฉบัง โดยเรามั่นใจว่าจะสามารถให้บริการลูกค้าได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีประสบการณ์ให้บริการบรรจุสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์แบบ 1 รายต่อ 1 ตู้คอนเทนเนอร์ (Full Container Load : FCL) เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 15 ปี อีกทั้งมีทีมงานที่เชี่ยวชาญ และเครื่องมือในการปฏิบัติงานพร้อม” นายชวนินทร์ กล่าว
ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD เชื่อว่าศูนย์ LCL ของบริษัท จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ส่งออกสินค้ารายย่อย เนื่องจากตั้งอยู่ภายในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งเป็นท่าเรือหลักเพื่อการส่งออก โดยประเมินว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้แก่ JWD ทั้งปีประมาณ 60 ล้านบาท ซึ่งมาจากรายได้สองส่วนทั้งจากการให้เช่าพื้นที่คลังสินค้า และรายได้จากการรับบริหารจัดการสินค้าเข้าสู่ตู้คอนเทนเนอร์ นอกจากนี้ LCL ยังเป็นธุรกิจที่มีรายได้ค่าบริการต่อตู้ค่อนข้างสูง และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่น่าสนใจ
ส่วนภาพรวมการส่งออกสินค้าแบบ LCL ของผู้ส่งออกรายย่อยในปีที่ผ่านมานั้น ถึงแม้ยังมีปริมาณไม่มากนัก เมื่อเทียบกับการภาพรวมการส่งออกสินค้าแบบเต็มตู้ FCL (Full Container Load) ของผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่ที่มีประมาณ 7 ล้านตู้คอนเทนเนอร์ แต่เป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง โดยมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี และเชื่อว่าน่าจะเติบโตได้ดีในอนาคต เนื่องจากมีผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อย รวมทั้งสตาร์ทอัป เกิดขึ้นมาก และมีความต้องการส่งออกสินค้าในปริมาณไม่มาก ส่วนภาพรวมการแข่งขัน คาดว่าจึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีคู่แข่งรายอื่นเข้ามารุกตลาดเพิ่มขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในการขอใบอนุญาตเปิดศูนย์ LCL ในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง มีข้อกำหนดจากกรมศุลกากรว่า จะต้องเป็นผู้ประกอบการที่มีใบอนุญาตพื้นที่ Free Zone เพื่อการพาณิชยกรรมในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง จึงจะสามารถเข้ามาลงทุนได้