พริมา มารีน ยื่นไฟลิ่งต่อ ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ไม่เกิน 625 ล้านหุ้น โดยมี บล.กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ก่อนเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปีนี้
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า บมจ.พริมา มารีน (PRM) ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 625 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออก และเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ บริษัทฯ จะมีทุนจดทะเบียนที่ออก และชำระแล้ว 2,500 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท
สำหรับการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้จะแบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนเสนอขายโดย บมจ.พริมา มารีน (PRM) ไม่เกิน 500 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม 125 ล้านหุ้น ซึ่งคิดเป็น 20% และ 5% ตามลำดับของหุ้นสามัญที่ออก และเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้
นางสาววีณา เลิศนิมิต ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สาย Primary Distribution ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า พริมา มารีน มี 4 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมี (ธุรกิจเรือขนส่งฯ), ธุรกิจเรือขนส่ง และจัดเก็บน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูป (ธุรกิจเรือขนส่ง และจัดเก็บ FSU), ธุรกิจเรือขนส่งที่ให้การสนับสนุนงานสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (ธุรกิจเรือ Offshore) และธุรกิจบริหารจัดการเรือ
โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ บมจ.พริมา มารีน (PRM) จะนำไปใช้ลงทุนเรือลำใหม่ และขยายกองเรือในธุรกิจเรือขนส่งฯ ธุรกิจเรือขนส่ง และการจัดเก็บ FSU และธุรกิจเรือ Offshore ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจต่อไป
นายชาญวิทย์ อนัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) (PRM) กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการกองเรือขนส่ง และจัดเก็บน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีทางเรืออย่างครบวงจร โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 มีกองเรือที่กลุ่มพริมา มารีน และกิจการร่วมค้าเป็นเจ้าของที่ให้บริการรวม 22 ลำ และมีเรือขนส่งน้ำมันที่ว่าจ้างจากบริษัทภายนอกอีก 9 ลำ มีขนาดน้ำหนักบรรทุกรวม 2,239,219 DWT
สำหรับธุรกิจเรือขนส่งฯ กลุ่มพริมา มารีน และกิจการร่วมค้ามีเรือขนส่งที่ให้บริการจำนวน 22 ลำ มีขนาดน้ำหนักบรรทุกรวม 271,400 DWT เพื่อให้บริการขนส่งน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีจากโรงกลั่น คลังน้ำมัน หรือท่าเรือต้นทาง โดยมีเส้นทางการขนส่งในประเทศ และระหว่างประเทศที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ส่วนธุรกิจเรือขนส่ง และจัดเก็บ FSU มีเรือให้บริการจำนวน 6 ลำ ที่มีถังเก็บสินค้าขนาดใหญ่ 7-17 ถังต่อลำ รวมขนาดน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 1,776,065 DWT เพื่อให้บริการขนส่ง และจัดเก็บน้ำมันแบบคลังลอยน้ำตามปริมาณ และระยะเวลาที่ลูกค้ากำหนด โดยปัจจุบัน เรือ FSU ของบริษัทฯ จอดในน่านน้ำระหว่างประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจซื้อขายน้ำมันของภูมิภาคเอเชีย
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังให้บริการเรือขนส่ง และสนับสนุนงานสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (Offshore) แก่กลุ่มลูกค้าบริษัทสำรวจ และขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล โดยมีธุรกิจที่ให้บริการ ได้แก่ เรือขนส่ง และจัดเก็บน้ำมันดิบสำหรับแท่นขุดเจาะน้ำมัน (Floating Storage and Offloading Unit หรือ FSO) เรือขนส่ง และที่พักอาศัยสำหรับพนักงานประจำแท่นขุดเจาะน้ำมันปิโตรเลียม (Accommodation Work Barge หรือ AWB) และเรือสนับสนุนลาก-จูง และจัดการสมอ (Anchor Handling Tugs หรือ AHTs) ซึ่งบริษัทฯ มีเรือ FSO จำนวน 2 ลำ ขนาดบรรทุกสูงสุด 191,754 DWT และมีเรือขนส่ง และที่พักอาศัยสำหรับพนักงานประจำแท่นขุดเจาะน้ำมันปิโตรเลียม (เรือ AWB) อีก 1 ลำ รองรับได้ 300 คน
นอกจากนี้ ยังให้บริการบริหารจัดการเรือแก่เรือขนส่งน้ำมัน เรือ FSU เรือ FSO เรือ AWB และเรือรับส่งคนประจำเรือ ที่บริษัทฯ ทำหน้าที่บริหารจัดการด้านเทคนิค ด้านคนเรือ และการบริหารงานเพื่อความปลอดภัยแก่คนประจำเรือ สินค้า และตัวเรือ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นหลักอีกด้วย
“เรามีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเรือขนส่ง และจัดเก็บน้ำมัน และปิโตรเลียมอย่างครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของไทย ตั้งแต่การขนส่งน้ำมันทางทะเล การจัดเก็บน้ำมันบนคลังเรือลอยน้ำ การให้บริการทางเรือที่สนับสนุนงานสำรวจ และผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล และการบริหารจัดการกองเรือของอุตสาหกรรมน้ำมัน และปิโตรเคมี ทำให้เรามีขีดความสามารถแข่งขันในด้านการให้บริการแก่ลูกค้ากลุ่มบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ โรงกลั่นน้ำมัน และผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ทั้งใน และต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทฯ มีศักยภาพการเติบโตที่ดีได้อย่างต่อเนื่องตามความต้องการใช้น้ำมันในภูมิภาคเอเชียแปฟิกที่เพิ่มขึ้น” นายชาญวิทย์ กล่าว