ช่วงต้นปี 2560 องค์กรชั้นนำหลายแห่ง เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย นำเสนอบทวิเคราะห์เศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลกได้เริ่มกลับมาฟื้นตัว หลังจากตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวดังกล่าวเพียงแต่สะท้อนเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น แต่โดยรวมยังคงมีความไม่แน่นอนสูง เพราะพื้นฐานทางเศรษฐกิจของหลายประเทศยังคงเปราะบาง มีความเสี่ยงหลายด้าน เช่น กลุ่มสหภาพยุโรปที่ภาคการเงิน และการคลังยังคงเปราะบาง กอปรกับปัญหาผู้อพยพ และก่อการร้าย ประเทศจีนซึ่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างมีนัย หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาโดยรัฐบาลของนายโดนัล ทรัมป์ ปัจจัยเหล่านี้อาจซ้ำเติมให้เศรษฐกิจ การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ ให้กลับเข้าสู่ภาวะชะลอตัว และถดถอยได้ในอนาคต
และเป็นที่ทราบกันดีว่าภาคการส่งออก ซึ่งมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนสองในสามของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของไทย มีส่วนช่วยขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยมายาวนาน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในประเทศไทย การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ยังคงเซื่องซึม และความไม่แน่นอนของอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยติดกับดักปานกลาง - ชะลอตัว (Middle Income Trap) อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยสามารถผ่านพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจสำคัญหลายครั้งในอดีต เช่น วิกฤตการเงินเอเชียปี 2540 วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ปี 2551 โดยเหตุการณ์เหล่านี้ย้ำเตือนให้ผู้นำในองค์กรภาคธุรกิจตระหนักถึงความเสี่ยง ผลกระทบ และความเสียหายที่จะเกิดขึ้น หากขาดการบริหารเชิงกลยุทธ์ที่ดี
ดีลอยท์ ในฐานะที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ และที่ปรึกษาทางการเงินให้แก่หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนตระหนักว่า ผู้ประกอบการธุรกิจได้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ และการดำเนินธุรกิจในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยใช้เครื่องมือทางการบริหารหลายประเภทเข้ามาช่วย เช่น การควบคุมต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารเงินทุนหมุนเวียน การจัดทำแบบจำลองทางการเงิน และการดำเนินงานให้สอดคล้องต่อภาวะเศรษฐกิจ การใช้กลยุทธ์ควบรวม และเข้าครอบครองกิจการ เป็นต้น
จากประสบการณ์การให้บริการลูกค้าที่เผชิญปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ดีลอยท์ เสนอแนะให้ผู้บริหารประเมินว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจนั้นเป็นแบบไม่รุนแรง ปานกลาง หรือรุนแรงมาก และควรพยากรณ์ระยะเวลาที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวและกลับไปเจริญเติบโตตามปกติ แล้วจึงกำหนดทิศทางองค์กร กลยุทธ์องค์กร และแผนธุรกิจ ภายใต้ข้อสมมติที่ครอบคลุมทุกเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ในอนาคต จากนั้นผู้บริหารควรระบุ และดำเนินกิจกรรมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และลดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดกลยุทธ์ แผนธุรกิจ และการดำเนินกิจกรรมเชิงกลยุทธ์ ในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ดีลอยท์ (ประเทศไทย) ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทไท ยและบริษัทข้ามชาติ ในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2559 โดยมีผู้บริหารระดับสูงมากกว่า 100 ราย เป็นผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถาม
และจากผลการสำรวจ พบว่า มากกว่าร้อยละ 80 ของผู้บริหารมองว่าเศรษฐกิจไทยมีการเจริญเติบโตที่ชะลอตัวแบบปานกลาง และร้อยละ 50 ของผู้บริหารประเมินการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย ไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ผู้บริหารร้อยละ 55 เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวกลับมามีอัตราการเจริญเติบตามปกติได้ภายในระยะเวลาน้อยกว่า 3 ปี
ในทำนองเดียวกัน ผลการสำรวจได้แสดงให้เห็นว่า ผู้บริหารพิจารณาการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศจีน การค้าระหว่างประเทศที่เซื่องซึม และการลดลงของราคาพลังงาน เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งผลการสำรวจในประเด็นนี้สอดคล้องต่อเศรษฐกิจไทยซึ่งพึ่งพาการส่งออก และประเทศจีนคือ ประเทศคู่ค้าที่สำคัญอันดับต้นๆ ของไทย นอกจากนี้แล้ว ผู้บริหารส่วนใหญ่มีมุมมองตรงกันว่า ความไม่มั่นคงทางการเมืองของไทยเป็นอุปสรรคอันดับ 1 ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 60 ของผู้บริหารมองว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยมีผลกระทบเชิงบวกต่อธุรกิจของบริษัท และกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้เป็นที่น่าพอใจ
สำหรับประเด็นเรื่องการเลือกใช้กลยุทธ์ ผู้บริหารส่วนใหญ่ระบุว่า การบริหารสินทรัพย์และหนี้สินให้มีประสิทธิภาพ การเน้นลูกค้าและการลงทุนที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ และการบริหารความเสี่ยงที่สอดคล้องต่อสถานการณ์ในอุตสาหกรรม เป็น 3 กลยุทธ์หลัก ที่บริษัทได้ดำเนินการในภาวะที่เศรษฐกิจไทยมีการชะลอตัว ซึ่งช่วยทำให้บริษัทสามารถประหยัดงบประมาณ และมีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจได้สะท้อนว่า การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในหลายมิติ และการเข้าครอบครองกิจการอื่นๆ ไม่ได้เป็นกลยุทธ์หลักที่ผู้บริหารส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในลำดับต้นๆ
ผลการสำรวจที่น่าใจอีกอย่างหนึ่ง คือ การดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจของบริษัทส่วนใหญ่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ถึงแม้ว่าระดับความรุนแรงของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจจะแตกต่างกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ บริษัทส่วนใหญ่ดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจโดยไม่คำนึงถึงระดับความรุนแรง และระยะเวลาที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว นอกจากนี้ ผลการสำรวจนี้ยังแสดงให้เห็นว่า การดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจของทั้งบริษัทขนาดใหญ่ และบริษัทขนาดกลาง และขนาดเล็กในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ไม่มีความแตกต่างกันในเชิงสถิติ ทั้งนี้ ดีลอยท์ มองว่า ผลการสำรวจในครั้งนี้กำลังตั้งคำถามที่ท้าทายว่า จริงหรือไม่ที่บริษัทกำหนดกลยุทธ์ แผนธุรกิจ และดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจได้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องต่อสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา
กล่าวโดยสรุป ผู้บริหารที่เข้าร่วมการสำรวจครั้งนี้เห็นตรงกันว่า ณ ปัจจุบันในภาวะเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว สามารถประคองตนได้ในระดับปานกลาง และมองว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยมีผลกระทบเชิงบวกต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน
ในส่วนนี้ ผู้บริหารระดับสูงต้องตระหนัก และประเมินผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่จะส่งผลต่อการดำเนินงาน และผลประกอบการของบริษัทในมิติต่างๆ เพื่อลดและควบคุมผลกระทบดังกล่าว ผลสำรวจจึงสะท้อนให้เห็นว่า ภาคเอกชนมีการเตรียมความพร้อมต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่อาจจะชะลอตัวต่อเนื่องในอนาคต จึงเตรียมความพร้อมภายในองค์กรให้พร้อมรับสถานการณ์ได้อย่างสอดคล้องต่อระดับความรุนแรงดังกล่าว และเมื่อเศรษฐกิจกลับมาเจริญเติบโตตามปกติ บริษัทที่มีการเตรียมความพร้อมดี และเรียนรู้จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จะมีโอกาสพลิกกลับมาเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืน
เขียนโดย ดร.สหนนท์ ตั้งเบญจสิริกุล (รองผู้อำนวยการ) และ ดร.วีระชัย วิวัฒน์ชาญกิจ (ที่ปรึกษาอาวุโส)
บ. ดีลอยท์ (ประเทศไทย)

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวดังกล่าวเพียงแต่สะท้อนเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น แต่โดยรวมยังคงมีความไม่แน่นอนสูง เพราะพื้นฐานทางเศรษฐกิจของหลายประเทศยังคงเปราะบาง มีความเสี่ยงหลายด้าน เช่น กลุ่มสหภาพยุโรปที่ภาคการเงิน และการคลังยังคงเปราะบาง กอปรกับปัญหาผู้อพยพ และก่อการร้าย ประเทศจีนซึ่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างมีนัย หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาโดยรัฐบาลของนายโดนัล ทรัมป์ ปัจจัยเหล่านี้อาจซ้ำเติมให้เศรษฐกิจ การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศ ให้กลับเข้าสู่ภาวะชะลอตัว และถดถอยได้ในอนาคต
และเป็นที่ทราบกันดีว่าภาคการส่งออก ซึ่งมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนสองในสามของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของไทย มีส่วนช่วยขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยมายาวนาน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในประเทศไทย การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ยังคงเซื่องซึม และความไม่แน่นอนของอัตราแลกเปลี่ยน ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยติดกับดักปานกลาง - ชะลอตัว (Middle Income Trap) อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยสามารถผ่านพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจสำคัญหลายครั้งในอดีต เช่น วิกฤตการเงินเอเชียปี 2540 วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ปี 2551 โดยเหตุการณ์เหล่านี้ย้ำเตือนให้ผู้นำในองค์กรภาคธุรกิจตระหนักถึงความเสี่ยง ผลกระทบ และความเสียหายที่จะเกิดขึ้น หากขาดการบริหารเชิงกลยุทธ์ที่ดี
ดีลอยท์ ในฐานะที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการ และที่ปรึกษาทางการเงินให้แก่หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนตระหนักว่า ผู้ประกอบการธุรกิจได้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ และการดำเนินธุรกิจในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยใช้เครื่องมือทางการบริหารหลายประเภทเข้ามาช่วย เช่น การควบคุมต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารเงินทุนหมุนเวียน การจัดทำแบบจำลองทางการเงิน และการดำเนินงานให้สอดคล้องต่อภาวะเศรษฐกิจ การใช้กลยุทธ์ควบรวม และเข้าครอบครองกิจการ เป็นต้น
จากประสบการณ์การให้บริการลูกค้าที่เผชิญปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ดีลอยท์ เสนอแนะให้ผู้บริหารประเมินว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจนั้นเป็นแบบไม่รุนแรง ปานกลาง หรือรุนแรงมาก และควรพยากรณ์ระยะเวลาที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวและกลับไปเจริญเติบโตตามปกติ แล้วจึงกำหนดทิศทางองค์กร กลยุทธ์องค์กร และแผนธุรกิจ ภายใต้ข้อสมมติที่ครอบคลุมทุกเหตุการณ์ที่เป็นไปได้ในอนาคต จากนั้นผู้บริหารควรระบุ และดำเนินกิจกรรมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และลดผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
เพื่อให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดกลยุทธ์ แผนธุรกิจ และการดำเนินกิจกรรมเชิงกลยุทธ์ ในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ดีลอยท์ (ประเทศไทย) ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทไท ยและบริษัทข้ามชาติ ในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน 2559 โดยมีผู้บริหารระดับสูงมากกว่า 100 ราย เป็นผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถาม
และจากผลการสำรวจ พบว่า มากกว่าร้อยละ 80 ของผู้บริหารมองว่าเศรษฐกิจไทยมีการเจริญเติบโตที่ชะลอตัวแบบปานกลาง และร้อยละ 50 ของผู้บริหารประเมินการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย ไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ผู้บริหารร้อยละ 55 เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวกลับมามีอัตราการเจริญเติบตามปกติได้ภายในระยะเวลาน้อยกว่า 3 ปี
ในทำนองเดียวกัน ผลการสำรวจได้แสดงให้เห็นว่า ผู้บริหารพิจารณาการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศจีน การค้าระหว่างประเทศที่เซื่องซึม และการลดลงของราคาพลังงาน เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งผลการสำรวจในประเด็นนี้สอดคล้องต่อเศรษฐกิจไทยซึ่งพึ่งพาการส่งออก และประเทศจีนคือ ประเทศคู่ค้าที่สำคัญอันดับต้นๆ ของไทย นอกจากนี้แล้ว ผู้บริหารส่วนใหญ่มีมุมมองตรงกันว่า ความไม่มั่นคงทางการเมืองของไทยเป็นอุปสรรคอันดับ 1 ที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 60 ของผู้บริหารมองว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยมีผลกระทบเชิงบวกต่อธุรกิจของบริษัท และกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้เป็นที่น่าพอใจ
สำหรับประเด็นเรื่องการเลือกใช้กลยุทธ์ ผู้บริหารส่วนใหญ่ระบุว่า การบริหารสินทรัพย์และหนี้สินให้มีประสิทธิภาพ การเน้นลูกค้าและการลงทุนที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ และการบริหารความเสี่ยงที่สอดคล้องต่อสถานการณ์ในอุตสาหกรรม เป็น 3 กลยุทธ์หลัก ที่บริษัทได้ดำเนินการในภาวะที่เศรษฐกิจไทยมีการชะลอตัว ซึ่งช่วยทำให้บริษัทสามารถประหยัดงบประมาณ และมีความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจได้สะท้อนว่า การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในหลายมิติ และการเข้าครอบครองกิจการอื่นๆ ไม่ได้เป็นกลยุทธ์หลักที่ผู้บริหารส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในลำดับต้นๆ
ผลการสำรวจที่น่าใจอีกอย่างหนึ่ง คือ การดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจของบริษัทส่วนใหญ่ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ถึงแม้ว่าระดับความรุนแรงของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจจะแตกต่างกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ บริษัทส่วนใหญ่ดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจโดยไม่คำนึงถึงระดับความรุนแรง และระยะเวลาที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว นอกจากนี้ ผลการสำรวจนี้ยังแสดงให้เห็นว่า การดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจของทั้งบริษัทขนาดใหญ่ และบริษัทขนาดกลาง และขนาดเล็กในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ไม่มีความแตกต่างกันในเชิงสถิติ ทั้งนี้ ดีลอยท์ มองว่า ผลการสำรวจในครั้งนี้กำลังตั้งคำถามที่ท้าทายว่า จริงหรือไม่ที่บริษัทกำหนดกลยุทธ์ แผนธุรกิจ และดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจได้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องต่อสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา
กล่าวโดยสรุป ผู้บริหารที่เข้าร่วมการสำรวจครั้งนี้เห็นตรงกันว่า ณ ปัจจุบันในภาวะเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว สามารถประคองตนได้ในระดับปานกลาง และมองว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยมีผลกระทบเชิงบวกต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน
ในส่วนนี้ ผู้บริหารระดับสูงต้องตระหนัก และประเมินผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวที่จะส่งผลต่อการดำเนินงาน และผลประกอบการของบริษัทในมิติต่างๆ เพื่อลดและควบคุมผลกระทบดังกล่าว ผลสำรวจจึงสะท้อนให้เห็นว่า ภาคเอกชนมีการเตรียมความพร้อมต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่อาจจะชะลอตัวต่อเนื่องในอนาคต จึงเตรียมความพร้อมภายในองค์กรให้พร้อมรับสถานการณ์ได้อย่างสอดคล้องต่อระดับความรุนแรงดังกล่าว และเมื่อเศรษฐกิจกลับมาเจริญเติบโตตามปกติ บริษัทที่มีการเตรียมความพร้อมดี และเรียนรู้จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว จะมีโอกาสพลิกกลับมาเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืน
เขียนโดย ดร.สหนนท์ ตั้งเบญจสิริกุล (รองผู้อำนวยการ) และ ดร.วีระชัย วิวัฒน์ชาญกิจ (ที่ปรึกษาอาวุโส)
บ. ดีลอยท์ (ประเทศไทย)