บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC แจ้งผลการประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 5 เม.ย.60 มายังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท.ว่า ที่ประชุมฯ อนุมัติให้เข้าซื้อ และรับโอนกิจการที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเคมี สายโพรพิลีน สายเคมีภัณฑ์ชีวภาพ และธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องทั้ง 6 บริษัท จากบริษัท ปตท จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เบื่องต้นประเมินว่า จะต้องใช้วงเงินประมาณ 2.63 หมื่นล้านบาท แต่ไม่เกิน 2.68 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินลงทุนดังกล่าวจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท
กระบวนการซื้อกิจการ และรับโอนกิจการทั้ง 6 บริษัท คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคม 2560 แต่สามารถขยายเวลาไปถึงเดือนเมษายน 2561 ซึ่งการรับโอนกิจการเข้ามาจะมีทั้งสินทรัพย์ และหนี้สิน ซึ่งเชื่อว่าการรับโอนหนี้สินเข้ามาจะไม่ได้มีผลกระทบต่อธุรกิจมากนัก เพราะอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) จะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 0.6 เท่า จากเดิม 0.58 เท่า แต่บริษัทจะได้รับประโยชน์จากการนำผลิตภัณฑ์ของกิจการที่ซื้อมาต่อยอดให้กับธุรกิจเดิม และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของบริษัทที่ต้องการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น และต้องการร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำต่างๆ เพื่อก้าวเป็นผู้นำในธุรกิจปิโตรเคมี
ส่วนการที่บริษัทตัดสินใจไม่ขายหุ้นบริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) หรือ VNT ที่ถืออยู่ 24.98% ให้กับกลุ่มบริษัทอาซาฮี กลาส ที่ได้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ VNT เป็นไปตามความแนะนำของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระที่ไม่เห็นด้วยกับการชายหุ้น VNT ที่บริษัทถืออยู่ออกไป
ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการศึกษาของที่ปรึษาทางการเงินอิสระว่า จะมีแนวทางการร่วมมือด้านกลยุทธ์ (Synergy) กับทางกลุ่มอาซาฮี กลาส อย่างไรก็ตาม บริษัทยืนยันว่า ไม่มีแผนที่จะขายหุ้น VNT แน่นอน
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการของ PTTGC ในปีนี้ยังคงเป้าหมายเดิมที่จะเติบโต 25% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3.46 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่คาดว่า จะเพิ่มขึ้น 25% มาที่ระดับ 52-55 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากราว 41 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ในปีก่อน
ขณะเดียวกัน ยังคาดว่าส่วนต่างผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ในปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 232 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน จากปีก่อน 185 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เนื่องจากส่วนต่างของผลิตภัณฑ์เบนซินมีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากปริมาณการผลิตใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดได้เลื่อนออกไป ขณะที่ส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีนยังคงทรงตัว